เมื่อโอบามาแวะซดก๋วยเตี๋ยว, กระดกเบียร์กลางกรุงฮานอย

เมื่อโอบามาแวะซดก๋วยเตี๋ยว, กระดกเบียร์กลางกรุงฮานอย

ภาพนี้มีความหมาย ไม่ใช่เพราะประธานาธิบดี บารัก โอบามา

 ซดเบียร์และกินก๋วยเตี๋ยว กับพิธีกรรายการอาหารชื่อดังอย่าง Anthony Bourdain ณ ร้านอาหารของชนชั้นกลาง กลางเมืองฮานอยเหมือนชาวบ้านทั้งหลายที่นั่น

ร้านนี้เป็นที่รู้จักของคนฮานอยดี ชื่อ Bun Cha Huong Lien ขายอาหารประเภท ”บุ๋นจ่า” พื้นเมืองอันประกอบด้วยหมูปิ้งกับก๋วยเตี๋ยว

ที่มีความสำคัญเพราะผู้นำสหรัฐคนนี้สร้างบรรยากาศสบาย ๆ แบบคนท้องถิ่นให้ออกไปทั่วโลก ก็เพื่อจะบอกว่าความสัมพันธ์ ระหว่างอดีตศัตรูร้ายกาจนั้นกลับสู่สภาพเดิมแล้ว

แม้จะเป็นการอัดเทปรายการทีวีของเชฟคนดังก็เป็นประเด็นการเมืองได้

ใครจะเชื่อว่าหลังจาก ไซ่ง่อนแตก เมื่อวันที่ 30 เม.ย.1975 หรือเมื่อ 41 ปีก่อนถือเป็นวันยุติสงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 20 ปี คร่าชีวิตคนเวียดนามเกือบสองล้านคนและทหารมะกันกว่า 50,000 คนจะมีวันนี้

วันที่ผู้นำสหรัฐมายืนเคียงคู่ผู้นำเวียดนามประธานาธิบดี ทรันไดควง เพื่อประกาศว่าวอชิงตันจะยกเลิกการห้ามขายอาวุธให้กับประเทศนี้ที่เรียกว่า arms embargo มาหลายสิบปี และจะสร้างเสริมสัมพันธ์ไมตรีกันให้แน่นแฟ้นกว่าเดิมเสียอีก

ใครจะเชื่อว่าวันนี้เวียดนามกำลังจะขอให้สหรัฐกลับมามีบทบาทคึกคัก

ใครจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งเวียดนามกับจีนเป็นพันธมิตร ปักหลักสู้กับสหรัฐ แต่วันนี้ จีนกับเวียดนามกลายเป็นคู่พิพาทในกรณีทะเลจีนใต้ และสหรัฐกลับมาจับมือกับเวียดนามเพื่อสกัดอิทธิพลของจีน

ใครจะเชื่อว่าวันนี้ผู้นำสหรัฐจะมานั่งดวดเบียร์ ซดก๋วยเตี๋ยวญวนในร้านอาหารท้องถิ่นอย่างสบายใจ เหมือนเป็นเพื่อนรักกันมาแสนยาวนาน

ก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่งทำเนียบขาวในอีก 8 เดือนข้างหน้า โอบามาพยายามจะเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ ด้วยการลบอดีตแห่งความบาดหมางเพื่อก้าวสู่ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่

เริ่มด้วยการกลับไปคืนดีกับคิวบา

บินมาเยือนเวียดนามพร้อมคำประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามขายอาวุธ

และวันพรุ่งนี้จะไปเยือนฮิโรชิมาที่ญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นอีกฉากหนึ่งที่จะบอกกล่าว ถึงการปิดฉากความโหดร้ายแห่งสงครามเช่นกัน

สหรัฐหย่อนระเบิดปรมาณูลงเมืองฮิโรชิมาเมื่อวันที่ 6 ส.ค.1945 ตายทันทีหลายพันคน และถึงปลายปีเดียวกันก็ปลิดชีวิตกว่า 140,000 คนเพราะพิษร้ายของระเบิดที่มีสมญาว่า Big Boy ลูกนั้น

เมืองนางาซากิเป็นเป้าของการถล่มด้วยระเบิดร้ายแรงนี้เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ในปีเดียวกัน

อีก 6 วันต่อมา ญี่ปุ่นยอมยกธงขาว ยุติสงครามโลกครั้งที่สองอย่างราบคาบ ยอมให้สหรัฐมากำกับดูแลและเขียนรัฐธรรมนูญ “สันติภาพ” โดยจะไม่ให้กองทัพติดอาวุธอีก

โอบามาบอกว่าจะเดินเคียงคู่กับนายกฯ ชินโซะ อาเบะ แห่งญี่ปุ่นที่จะไปทำพิธีรำลึกอดีตแห่งความเหี้ยมโหดของสงครามโลกครั้งที่สอง แต่จะไม่มีคำว่า ขอโทษ จากเขา

โอบามาอ้างว่าผู้นำทุกคนในโลก จำต้องตัดสินใจทำอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญในสถานการณ์ที่ลำบาก ดังนั้นทุกคนควรจะเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงเกิดสงครามที่ทำลายล้าง ทั้งชีวิตคนและทรัพย์สินอย่างมหาศาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

เขาบอกว่าที่ไปเยือนฮิโรชิมา (ผู้นำสหรัฐคนแรกที่ไปเยือนเมืองนี้ในระหว่างที่ยังนั่งทำเนียบขาว) ก็เพื่อจะตอกย้ำความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับญี่ปุ่น

อดีตศัตรูร้ายกาจวันนี้กำลังจะจับมือเพื่อลืมความหลังและสร้างอนาคตร่วมกัน

แน่นอนว่า วาระซ่อนเร้น ของอเมริกาคือการสร้างพันธมิตรในเอเชียให้แข็งแกร่งตามแนวทาง Pivot to Asia หรือ ปักหมุดในเอเชีย ของโอบามาเพื่อสกัดการขยายอิทธิพลของจีนอย่างคึกคักทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและความมั่นคง

เราจึงไม่ได้ยินโอบามาตำหนิผู้นำเวียดนามเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่มีเสียงวิพากษ์เรื่อง ความไม่เป็นประชาธิปไตย ของฮานอยในการเดินทางมาแวะกินเฝอกลางเมืองหลวงเวียดนามครั้งนี้

เพราะสำหรับมหาอำนาจแล้ว ลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ ย่อมมาก่อนหลักการแห่งความถูกต้องชอบธรรมเสมอ

ใครไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ก็ย่อมจะต้องเป็นเหยื่อของความไร้เดียงสาอยู่ร่ำไป