ทูตจีนกับคำถาม ‘จีนเอาเปรียบไทยหรือไม่?’
บทสนทนาระหว่าง ท่านเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย
กับคณะบรรณาธิการเครือเนชั่น จะไม่ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องโครงการรถไฟไทย-จีน ย่อมเป็นไปไม่ได้
ค่ำวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เมื่อวงพูดคุยยกประเด็นนี้ขึ้นมา ท่านทูต “หนิงฟู่ขุ่ย” เริ่มด้วยการบอกว่า “ผมรู้ว่าพวกคุณจะต้องถามเรื่องนี้แน่นอน กลางวันนี้ ผมจึงโทรศัพท์ไปปักกิ่งเพื่อสอบถามว่า ผลการเจรจาไทย-จีนเรื่องรถไฟรอบที่ 10 มีผลสรุปว่าอย่างไร...ขอเรียนว่า ณ นาทีที่เราคุยกันอยู่นี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่คงจะมีผลการประชุมออกมาให้ได้รับทราบกันแน่นอน...”
ท่านทูตยอมรับว่าฝ่ายจีนไม่รู้ล่วงหน้า ว่ารัฐบาลไทยจะประกาศสร้างทางรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ กับโคราช ด้วยงบประมาณตนเอง ไม่กู้จากจีนอย่างที่เคยเจรจาก่อนหน้านี้
แต่ฝ่ายจีนก็ยังมีความเชื่อมั่นว่า โครงการรถไฟระหว่างสองประเทศ จะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน เพราะได้ประโยชน์สำหรับทั้งสองประเทศแน่
ประเด็นที่ยังเห็นต่างเช่นเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไทยขอให้ต่ำกว่า 2.5% ที่ทางปักกิ่งเสนอมานั้น “ย่อมเป็นเรื่องที่พูดจากันได้”
แต่ท่านทูตยืนยันว่าฝ่ายจีนไม่ได้เอาเปรียบไทย และพร้อมจะฟังความเห็นจากไทยเพื่อเดินหน้าโครงการนี้
“หลักการใหญ่ไม่กระทบ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง”
ท่านทูตยืนยันว่าการขนส่งทางรถไฟมีอนาคตที่แจ่มใส เพราะเส้นทางรถไฟที่จีนกำลังก่อสร้างจะไปถึงยุโรป และจะลดเวลาการขนส่งที่ใช้เส้นทางทะเลปัจจุบันลงถึง 50% แม้ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางรถไฟ จะยังแพงกว่าทางทะเลเพราะพิธีกรรมศุลกากร และปัญหาทางเทคนิคที่ยังไม่สอดคล้องต้องกัน
อีก 4 ปีข้างหน้า จีนจะมีรถไฟความเร็วสูงกว่า 30,000 กิโลเมตรขณะที่ของญี่ปุ่นจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 กิโลเมตรเท่านั้น
“ผมยืนยันว่าจีนสามารถสร้างทางรถไฟความเร็วสูงได้ถูกกว่า เร็วกว่าและประสิทธิภาพเหนือกว่าของญี่ปุ่น” ท่านทูตจีนประกาศเสียงดังฟังชัด
ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าจีนตระหนักว่า คู่แข่งสำคัญเรื่องนี้ในไทยคือญี่ปุ่น ที่ได้เสนอร่วมโครงการรถไฟในไทย และอีกหลายประเทศในอาเซียนด้วยข้อเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าของจีน และอาจจะใช้วิธีการที่นิ่มนวลกว่า ไม่เกิดข่าวว่า “เอารัดเอาเปรียบ” เจ้าของบ้านอย่างที่เกิดภาพลักษณ์สำหรับปักกิ่งในกรณีนี้
แน่นอนว่าท่านทูตรู้ดีว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย มีความรู้สึกว่าฝ่ายจีนเอาเปรียบไทย และคาดหวังว่าในฐานะ “พี่ใหญ่” ที่เศรษฐกิจกำลังผงาดในระดับโลก ไทยก็ย่อมจะหวังให้จีนช่วยเหลือเกื้อกูลมากกว่าที่ผ่านมา
ทูตจีนย้ำว่าปักกิ่งได้ช่วยเหลือไทยมาตลอด แม้ว่ารายได้ต่อหัวของประชาชน ยังน้อยกว่าของหลายประเทศเพราะจีนยังเป็น “ประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก”
“จีนรับปากจะซื้อข้าวจากไทยปีละ 1 ล้านตันสองปี ซึ่งต้องถือว่าเป็นพันธสัญญาพิเศษมาก เพราะจีนไม่ได้ซื้อสินค้าเกษตรจำนวนมากขนาดนี้จากประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่นเราซื้อข้าวจากกัมพูชาก็แค่ระดับแสนตันเท่านั้น... และจีนก็รับซื้อยางจากไทยเท่ากับ 40-50% และมันสำปะหลัง 90% ที่ไทยขายไปทั่วโลก” ท่านทูตกล่าวสำทับให้เห็นว่ามังกรยักษ์ ได้พยายามแสดงความเป็นเพื่อนผู้พี่ที่ดีมาตลอด
แต่ท่านทูตก็เตือนว่าจีนกำลังเริ่มปลูกลำไยได้เองบ้างแล้ว อีกหน่อยก็อาจจะลดการสั่งลำไยจากไทย ทำให้ราคาลำไยไทยตก จึงอยากให้ทางการไทยเริ่มวางแผนให้เกษตรกรทางเหนือลดการปลูกลำไย หันไปปลูกผลไม้ประเภทอื่น
“หาไม่แล้ว หากราคาลำไยตก ก็จะโทษจีนอีก” ท่านทูตรำพัน
ทุเรียนกับมังคุดเป็นผลไม้สองอย่างที่จีนปลูกไม่ได้เพราะปัจจัยลมฟ้าอากาศ ไทยจึงยังสามารถพึ่งพิงตลาดจีนไปได้อีก
วงสนทนาค่ำวันนั้นฟังได้ชัดว่าท่านทูตจีนพยายามอย่างยิ่ง ที่จะแสดงจุดยืนว่าจีนไม่ได้เอาเปรียบไทย และพร้อมจะนั่งแลกเปลี่ยนกับฝ่ายไทยในทุกระดับเพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ “เท่าเทียม เป็นธรรมและมีผลประโยชน์ร่วมกัน”
แน่นอนว่าท้ายที่สุดทุกอย่างย่อมพิสูจน์กันด้วยการกระทำของทั้งสองฝ่าย ที่จะต้องสร้างความกระจ่างทั้งในหลักการและรายละเอียดในทางปฏิบัติ
เพราะไม่มีความสัมพันธ์ใดจะยั่งยืนได้ หากไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม และต่างฝ่ายต่างเห็นประโยชน์ จากการคบหากันอย่างจริงใจและจริงจัง