ปิดกั้นหรือโอกาส?

ปิดกั้นหรือโอกาส?

ถือเป็นข่าวฮือฮาไม่น้อยในวงการดิจิทัล เมื่อกรมการขนส่งทางบก ประกาศให้ Uber Moto และ GRAB Bike หยุดให้บริการทันที

เนื่องจากผิดกฎหมายของทางกรมขนส่ง ถ้าหากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการทางกฎหมายตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

   โอ้แม่เจ้า! น่ากลัวมาก ถึงกับเอ่ยอ้างชื่อ คสช. ผมลองคว้ามือถือ เปิดแอพ Grab ดูปรากฏว่ายังเจอมอเตอร์ไซต์ 7-8 คัน ให้บริการอยู่ตามปกติในบริเวณรอบๆ ออฟฟิศของผม!        เสียงของคนดิจิทัล รวมถึงคนใช้งานแอพทั้งสองตัวนี้ ต่างพากันก่นร้อง ไม่เห็นด้วยกับคำประกาศนี้เลย ฝ่ายคนดิจิทัลพากันพร้อมใจพูดว่า การประกาศห้ามแบบนี้ มันสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของภาครัฐ 

            รัฐไม่ต้องมาเนียนพูดถึงเรื่อง Digital Economy หรือสนับสนุน Start Up อะไรให้เมื่อยหรอก แค่นี้ก็เห็นๆกันแล้ว ว่าคิดยังไง ?

            ทางมุมของผู้ใช้ ก็บ่นไม่แพ้กัน เพราะอดใช้บริการมอเตอร์ไซต์ราคาถูก บริการดี พร้อมกับกระแหนะกระแหนเล็กๆ ว่าต้องใช้บริการวินปากซอยที่ราคาแพงๆ แล้วจ่ายค่าหัววินมอเตอร์ไซค์ ให้กับผู้มีอิทธิพลใช่ไหมถึงจะพอใจ? หรืองานนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์แน่ๆ ก็ว่ากันไปตามเหตุผลของแต่ละคน 

            ส่วนตัวผมคิดว่ากรมขนส่ง มีเหตุผลอยู่พอสมควรครับเพราะผู้ขับมอเตอร์ไซค์ให้กับแอพทั้งสอง ไม่ได้มีใบอนุญาตขับขี่ให้บริการที่ถูกต้อง รวมถึงไปแย่งงานของพี่วินที่ให้บริการแบบถูกกฎหมายด้วย 

            แต่ทว่าแทนที่จะประกาศห้ามแบบนี้ ผมคิดว่าน่าจะออกมาหามาตรการควบคุม และจัดการทำให้มันถูกต้องดีกว่า เช่น ใครจะขับ Grab หรือ Uber ก็ต้องให้ไปลงทะเบียนที่กรมขนส่งก่อน หรือไม่ก็ต้องเรียก Grab&Uber เข้าไปคุย เพื่อตกลง จัดระเบียบผู้ที่จะมาให้บริการขับมอร์เตอร์ไซค์ในระบบ ไม่ใช่เปิดเสรีจนเกินไปแบบในบัจจุบัน 

            พูดถึงการประกาศห้าม ไม่ให้ดำเนินธุรกิจในลักษณะแบบนี้ ผมนึกถึงเคสคลาสสิคขึ้นมาหนึ่งเคสทันที นั่นก็คือ เคสของ Facebook และ Google ที่ถูกประกาศห้ามไม่ให้มีการใช้งานในประเทศจีน! 

แน่นอนครับคนจีนเอง ก็ไม่ได้มีความสุขกับสิ่งนี้เท่าไหร่ เท่าที่ผมคุยกับเพื่อนชาวจีนดู เค้าเองก็อยากใช้ Facebook กับ Google อยู่เหมือนกัน แต่ทว่ารัฐบาลจีนคุมเข้ม แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยรัฐบาลจีนมีการทำ “Single Gateway” เพื่อใช้ในการควบคุมการใช้งานอินเตอร์เน็ตของประชาชนออกมา ถึงคนจะอยากเข้าดู Facebook Google แค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ เพราะโดนบล็อกไม่ให้เข้าไปได้เลย

            ผมลองจินตนาการดูถ้าคนดิจิทัลเมืองไทยไปอยู่ที่จีน คงจะบ่นกับนโยบายควบคุมแบบเด็ดขาดอันนี้แน่ๆ นี่มันรัฐบาลอะไรกันนี่ เข้าใจ Digital Economy กันบ้างมั้ย? เสร็จก็บ่นต่อเป็นชุด  แต่สถานการณ์กลับพลิกผันสุดๆครับ ถ้าเราลองไปถามความเห็นคนดิจิทัลเมืองจีน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ! คนดิจิทัลเมืองจีน กลับพูดในทำนองชื่นชมรัฐบาลของตัวเองว่ามองเกมส์ขาดมาก กล้าทำนโยบายขัดใจชาวบ้านอันนี้ออกมา ด้วยการควบคุมแบบเข้มงวด ทำให้ประเทศจีน สามารถมีบริษัท Start Up สัญชาติจีน ที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับฝั่ง อเมริกา หรือ ยุโรปได้ ไม่ว่าจะเป็น Weibo, Baidu, WeChat , ฯลฯ

            ว่ากันว่าในกรณีที่รัฐบาลจีนไม่ได้ออกนโยบายคุมเข้มขนาดนี้ บริษัทที่ผมเอ่ยชื่อด้านบน คงไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากแน่ๆ คงโดนบริษัทฝั่งอเมริกัน กินรวบทั้งหมด! สถานการณ์ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ายักษ์ใหญ่ทางฝั่งอเมริกาเอง ก็ยังต้องคลั่นคร้าม บริษัทดิจิทัลสัญชาติจีน 

            กลับมาที่ประเทศไทย ที่ไม่ได้มีนโยบายควบคุมเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เราเปิดอิสระ ใครจะมา มาเลยจ้า อ้าแขนรับ ผลปรากฎว่าคนใช้ Facebook อย่างเดียวในไทย จัดไป 40 ล้านคนเหนาะๆ หรือ ประมาณ 60% ของประชากรทั้งหมด นี่ยังไม่นับรวมคนที่ใช้บริการ Google ถ้าให้ผมเดาเอา แบบนั่งเทียน คิดว่า 2 ยี่ห้อนี้รวมกันดีไม่ดีอาจจะถึง 80% ของประชากรเราทั้งหมดด้วยซ้ำ

            ที่น่ากลัวมากๆ คือ ข้อมูลการใช้งาน Internet ของเราทั้งหมด ถูกเก็บบันทึกโดยยักษ์ใหญ่ทั้งสองนี้หมดเลยครับ โดยข้อมูลเหล่านี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้อย่างมหาศาล เพราะมันสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆ รวมถึงทำนายความต้องการ ในการซื้อขาย จับจ่ายใช้สอยได้ กลายเป็น Advertising Platform ที่ทรงประสิทธิภาพ แบบเหนือจินตนาการ ที่พวกเราจะนึกถึง

            และเนื่องด้วย Platform อยู่ในรูปแบบของดิจิตอล Google และ Facebook กำลังจะทำให้กำแพงธุรกิจระหว่างประเทศพังทลายลง เนื่องด้วยธุรกิจต่างชาติ สามารถเข้ามาทำตลาดภายในประเทศเราได้อย่างง่ายๆ โดยการทำ Digital Marketing ซึ่งตอนนี้เองก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ผมเห็นบริษัทจำนวนมาก สามารถทำธุรกิจในไทยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมาตั้งออฟฟิศที่ประเทศไทยเราเลย!

          การแข่งขันในโลกดิจิทัลดุเดือด เลือดพล่านขึ้นทุกวัน ณ จุดนี้ เราไม่ได้แข่งกันแค่ในประเทศแล้วครับ เรากำลังโดนคู่แข่งจากต่างประเทศรุกคืบเข้ามาอย่างเงียบๆ

            ผมเคยคุยกับเพื่อนนักธุรกิจแบบขำๆ ว่าด้วยสถานการณ์แบบนี้ ดุเดือดเลือดพล่านปานนี้ ธุรกิจเล็กๆแบบเราจะอยู่รอด ปลอดภัย ได้อย่างไร ?

            เค้าตอบแบบเรียบง่าย หน้าตาเฉย “ขายบริษํททิ้งให้หมด แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้น Facebook – Google สิ”

      เออจริงของมัน!