บริษัท ซื่อสัตย์ จำกัด

บริษัท ซื่อสัตย์ จำกัด

ถ้าอ่านข่าวธุรกิจเป็นประจำ ก็จะเห็นว่าพฤติกรรมไม่โปร่งใสของนักธุรกิจนั้น ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องและทั่วโลก

ไม่ว่าจะเป็นการตบแต่งบัญชี การใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายใน การให้หรือรับสินบน หรือการให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ฯลฯ 

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมเคยเล่าเรื่อง บริษัท โฟล์คสวาเก้น ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ เพื่อหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของอเมริกา ให้รถยนต์ของบริษัท ผ่านการตรวจสอบระดับมลพิษทุกคันและทุกครั้ง และกระทำได้สำเร็จเป็นเวลานานหลายปี แต่ในที่สุดข้อเท็จจริงก็ถูกเปิดเผยออกมา จนซีอีโอต้องออกมาประกาศยอมรับผิดทุกประการ
สัปดาห์ที่แล้ว เกิดเรื่องราวทำนองนี้อีกแล้ว คราวนี้ ซีอีโอของ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ออกมาประกาศยอมรับว่า บริษัทฯ ได้ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงในเรื่องการประหยัดน้ำมันของรถยนต์ของบริษัท 4 รุ่น โดยบริษัทได้เพิ่มตัวเลขประสิทธิภาพของการประหยัดน้ำมัน เข้าไปอีก 5-10% จากข้อมูลจริง

สรุปง่ายๆ ว่า แม้ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคนทั้งโลกยอมรับว่าประชาชนมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่ง แต่นักธุรกิจในประเทศนั้นก็ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ และมีให้เห็นมาแล้วหลายกรณี เช่นเมื่อไม่นานมานี้ บริษัท โตชิบ้า ก็ได้ออกมายอมรับว่า ได้ตกแต่งตัวเลขทางบัญชีมาเป็นเวลานานหลายปี

เมื่อบริษัทที่ซื่อสัตย์จริงๆ นั้น หาได้ยากยิ่งนัก ก็เลยมีผู้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา แล้วให้ชื่อว่า “บริษัท ซื่อสัตย์ จำกัด” ชื่อภาษาอังกฤษว่า “The Honest Company” โดยตั้งใจจะทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์อย่างแท้จริง บริษัทนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้บริโภค ปีแรก 2012 มียอดขายเพียง 10 ล้านเหรียญ ปีต่อมา 2013 ยอดขาย 60 ล้านเหรียญ ปี 2014 เพิ่มเป็น 170 ล้านเหรียญ และปี 2015 ที่ผ่านมา ยอดขาย 250 ล้านเหรียญ

ด้วยยอดขายที่เติบโตรวดเร็วอย่างนี้ ผู้คนก็สนใจกันว่าเมื่อไรจะทำไอพีโอ ข่าวบอกว่าบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมแปรสภาพเป็นมหาชน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้ หรือปีหน้า และคงมีผู้สนใจลงทุนมากมายทีเดียว

ความจริงบริษัทนี้ ไม่ได้น่าสนใจเฉพาะปรัชญาการทำธุรกิจเท่านั้น ตัวผู้ก่อตั้งเองก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดเช่นกัน เพราะเธอคือหญิงสาววัย 34 ปี มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นนางแบบและดาราฮอลลีวู้ด รูปร่างหน้าตาสะสวย มีนามว่า “เจสสิก้า อัลบ้า”

“The Honest Company” เริ่มต้นธุรกิจด้วยการขายผ้าอ้อมสำหรับทารก และประกาศว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไร้สารเคมีอันตราย รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย รายได้ปีแรกเกิดจากยอดขายผ้าอ้อมเป็นหลัก แต่ด้วยการตอบรับอย่างดียิ่งของผู้บริโภค ทำให้บริษัทขยายไลน์ออกไปอีกหลายผลิตภัณฑ์

ปัจจุบันบริษัทจำหน่ายสินค้าหลายชนิด ตั้งแต่ผ้าอ้อม สบู่ล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดครัว เรื่อยไปจนถึง มัลติวิตามิน ฯลฯ และบริษัทให้ความมั่นใจต่อผู้บริโภคว่า สินค้าทุกชนิดของบริษัทไม่มีสารเคมีอันตราย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน แม้สินค้าจะมีราคาแพงกว่าแบรนด์อื่นอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดี

เมื่อปลายปี 2015 นักวิเคราะห์คำนวณว่าบริษัทมีมูลค่าปัจจุบัน ประมาณ 1.7 พันล้านเหรียญ ซึ่งเจสสิก้า ถือหุ้นประมาณ 20% ทำให้วันนี้เธอมีความมั่งคั่งมากกว่า 300 ล้านเหรียญ ซึ่งนิตยสารฟอร์จูนถือว่าเป็นผู้หญิงที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองได้ ในระดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว

ผมหวังว่าที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คงจะเป็นแรงบันดาลใจให้ ซีอีโอคนไทย ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลมากยิ่งขึ้น และให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ถือหุ้น ลูกค้า ผู้กำกับดูแล ฯลฯ รวมทั้งปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังยิ่งขึ้น

เรื่องราวของ The Honest Company แม้จะดำเนินมาอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จมากมายในเวลาเพียงไม่กี่ปีก็ตาม แต่ในที่สุดก็มีปัญหาท้าทายเกิดขึ้นจนได้ เริ่มจากปีที่แล้ว มีผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ออกมาประกาศว่าได้ใช้ครีมกันแดดของบริษัท ชนิด SPF30 แล้วมีผื่นเกิดขึ้น และผู้บริโภคคนหนึ่ง ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท

บริษัทที่กำลังลอยลำอย่างราบรื่น ก็เลยสะดุดเล็กน้อย แม้จะเป็นผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบเพียงไม่กี่รายก็ตาม แต่บริษัทก็ตัดสินใจปรับสูตรการผลิต ด้วยการลดส่วนผสมของสารบางอย่างลงไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคมนี้เอง หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล ก็ได้ตีพิมพ์รายงานว่าสินค้าบางชนิดของบริษัท ที่อ้างว่าไม่มีสารเคมี SLS นั้น ไม่เป็นความจริง ตอนนี้ผู้บริโภคก็เลยรวมตัวกันฟ้องร้องบริษัท อีกกรณีหนึ่ง

แต่บริษัทก็แถลงยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้น ไม่มีสาร SLS จริงๆ มีเพียงสาร SCS เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ากระแสฟ้องร้องบริษัทจะยังไม่สงบเพียงนี้ เพราะสัปดาห์นี้ “สมาคมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ออแกนิก” ก็ยื่นฟ้องฟ้องบริษัทว่า “นมผงออแกนิก” ของบริษัทนั้นไม่ใช่ออแกนิกจริง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องทางเทคนิค และเราคงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง จึงจะทราบข้อเท็จจริงและบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งผลการตัดสินของศาล ว่าจะออกมาเป็นเช่นใด จะกระทบความน่าเชื่อถือในความซื่อสัตย์ของบริษัทและยอดขายของบริษัท หรือไม่

แต่ในระหว่างที่รอผลดังกล่าวอยู่นั้น ผมก็อยากจะบอกว่าเหตุที่เจสสิก้า อัลบ้า สนใจเข้ามาทำธุรกิจ ทั้งๆ ที่เธอเป็นนางแบบและดารา ก็มีเงินทองมากพอควรอยู่แล้ว ก็คือ เธอได้แรงบันดาลใจมาจากการมีลูกสาวครับ เพราะขณะที่เธอเตรียมต้อนรับลูกที่กำลังจะเกิดมา ด้วยการนำเสื้อผ้าทารกที่เธอได้รับเป็นของขวัญ มาซักล้างด้วยผงซักฟอก เพื่อให้ลูกได้สัมผัสกับสิ่งที่สะอาดที่สุด แต่แล้วเธอก็พบว่าฝ่ามือของเธอ เป็นผื่นแพ้จากสารเคมีบางอย่างในผงซักฟอก

เจสสิก้า ตระหนักในทันทีว่าสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ รอบตัวเรานั้น ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป เธอจึงเริ่มค้นคว้าศึกษาและทดสอบอย่างจริงจัง รวมทั้งขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ในที่สุดเธอก็กลายเป็นผู้มีความรอบรู้ในเรื่องความปลอดภัยของสินค้าชนิดต่างๆ และชักชวนเพื่อนฝูง และผู้เชี่ยวชาญ 3-4 คน ร่วมกันก่อตั้ง The Honest Company ขึ้น เมื่อปี 2553
เดิมบริษัทขายสินค้าทางออนไลน์เท่านั้น แต่ระยะหลังลูกค้าก็เรียกร้องให้จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าด้วย ขณะนี้จึงสามารถหาซื้อสินค้าของบริษัทได้จาก Nordstorm หรือ Target และห้างอื่นๆ อีกหลายแห่ง เธอไม่หยุดเพียงนี้ เพราะปี 2015 ก็ได้ไปเปิดสาขาในเกาหลี และปีนี้เตรียมจะเปิดสาขาในจีน นับเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง และเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานของ ความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ

เจสสิก้าได้นำคำว่า “ซื่อสัตย์” ไปตั้งเป็นชื่อบริษัทไปแล้ว ผมก็เลยอยากเสนอว่าเราเอาคำนี้มาตั้งเป็นระดับ “ชมรม” กันบ้างจะดีไหม เช่น “ชมรม ซีอีโอ ซื่อสัตย์” “ชมรม ผู้จัดซื้อ ซื่อสัตย์” หรือ “ชมรม นักการเมือง ซื่อสัตย์” เป็นต้น คุณว่าพอจะเป็นไปได้ไหมครับ สำหรับประเทศไทย

เจสสิก้า ได้แรงบันดาลใจมาจากการมีลูก ทำให้เธอคิดทำธุรกิจที่ซื่อสัตย์ ก็ในเมื่อซีอีโอ และผู้บริหารของบริษัทไทย หรือ นักการเมืองไทยทั้งหลาย ส่วนใหญ่ต่างก็มีลูกกันแล้วทั้งนั้น แรงบันดาลใจแบบเดียวกันนี้ พอจะมีบ้างไหมครับ?