เมื่อกูรูแถวหน้าเรื่องจีน ตั้งวงถกเบื้องลึกมังกรยักษ์

เมื่อกูรูแถวหน้าเรื่องจีน ตั้งวงถกเบื้องลึกมังกรยักษ์

ช่วงฉลองตรุษจีน ผมเชิญชวน “กูรูเรื่องเมืองจีน”

 แถวหน้าของประเทศไทย มานั่งจิบน้ำชาซดกาแฟที่ร้านกาแฟของเนชั่น ที่สยามแสควร์ NOWCafe (ช่อง 26) เพื่อตั้งวง คุยเฟื่องเรื่องเมืองจีน ได้ออกรสออกชาติอย่างยิ่ง

ผู้ร่วมวงเสวนามี ดร.สมภพ มานะรังสรรค์, ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น, ดร.สารสิน วีระผล, คุณโจ ฮอร์น พัธโนทัย และคุณทนง ขันทอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เกาะติดความเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิดมาตลอด สามารถวิเคราะห์ความเป็นมาและประเมินความเป็นไปได้อย่างมีสีสันและลุ่มลึก

วงสนทนาในสภากาแฟเห็นพ้องกันว่า แม้จะมีปัญหาในรายละเอียด แต่โครงการรถไฟไทย-จีน ก็คงจะต้องเกิด เพราะจะเกิดประโยชน์สำหรับทั้งสองประเทศ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเจรจาล่าสุด ยังไม่อาจหาข้อสรุปได้อาจจะเป็นเพราะ ความไม่มีประสบการณ์ ของฝ่ายจีนในการหาทางบรรลุข้อตกลง ไม่เหมือนญี่ปุ่นที่ช่ำชองเรื่องการต่อรองมาช้านาน

วงพูดคุยมีความเห็นว่าหากประเทศไทย หวังจะได้ประโยชน์เต็มที่จากโครงการนี้ ก็จะต้องมี ยุทธศาสตร์ของตนเองอย่างชัดเจน เพราะแน่ชัดว่าสำหรับจีนโครงการรถไฟเป็นส่วนสำคัญของนโยบาย “One Belt, One Road” หรือ เส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21” ที่เชื่อมต่อทางใต้ของจีนทะลุถึงยุโรป เขาจึงต้องพยายามทำให้สำเร็จ

แต่ไทยเราควรจะจับมือกับประเทศอาเซียนอื่น เช่น สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และ สปป.ลาว เพื่อต่อรองกับจีนเป็นกลุ่มเพื่อแลกกับเงื่อนไขที่ดีกว่าที่เห็นอยู่ปัจจุบัน

โครงการรถไฟจีนที่อินโดนีเซียก็ดูเหมือนจะมีปัญหา เพราะลงนามกันแล้วก็ต้องมีการทบทวน ส่วนของลาวเพิ่งลงนาม แต่หากของไทยไม่เกิด ของลาวก็จะชะงักได้เช่นกัน

วงสนทนาวิเคราะห์การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เห็นว่าเป็นภาวะปกติ เพราะจีนโตในระดับสูงมาระยะหนึ่ง หากไม่ ปรับฐาน ลงมาในระดับสมเหตุสมผล ก็อาจจะมีปัญหาด้วยซ้ำไป

เรื่องตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนผันผวนอาจจะสร้างกระแสกังวลในขณะนี้ แต่เชื่อว่าผู้นำจีนมีเครื่องมือเพียงพอที่จะ เอาอยู่

และหากเกิดความแปรปรวนถึงระดับที่น่าเป็นห่วง จีนก็สามารถจะ “ปิดก๊อก” เพื่อลดความรุนแรงได้

ที่น่าเป็นห่วงกว่าน่าจะเป็นปัญหาหนี้ไร้คุณภาพในระบบสถาบันการเงิน ที่ ณ วันนี้อาจสูงถึง 300% ของจีดีพี แต่ไม่ค่อยจะเป็นข่าวนัก เพราะระบบการเงินการธนาคารของจีนยังอยู่ใต้การควบคุมของรัฐ ซึ่งยังไม่มีระบบเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเพียงพอ

แต่ผู้รู้บอกว่ารัฐบาลจีนมีทรัพย์สินในรูปของที่ดินมหาศาล ดังนั้นหากจำเป็นก็อาจจะแปรเปลี่ยนมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจถึงกับมีอันเป็นไป

ที่แน่ ๆ คือนักธุรกิจจีนกำลังมุ่งมาไทย และคลื่นของนักลงทุนจากจีนมาไทยจะแรงขึ้นทุกที ที่ผ่านมาเป็นเพียง ออร์เดิฟ เท่านั้น ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะเห็นปริมาณและคุณภาพของการลงทุนจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เหตุผลชัด ๆ ก็คือจีนเห็นไทยเป็นประเทศหลักของอาเซียน ทั้งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่ต้อนรับคนต่างชาติเป็นจุดแข็งที่ทำให้จีนมองไทยทางบวกพอสมควร

แน่นอนว่าทะเลจีนใต้จะยังเป็นประเด็นร้อนด้านความมั่นคงในภูมิภาคนี้ เพราะปักกิ่งถือว่าจะต้องปกปักรักษาสิทธิของตนในย่านนี้ ขณะที่สหรัฐพยายามจะเข้ามา ปักหมุดในเอเซียตามนโยบายของประธานาธิบดีโอบามา

สงครามคงไม่เกิดระหว่างสหรัฐกับจีน หรือจีนกับไต้หวัน (แม้ว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวัน ไช่อิงเหวิน จะมีจุดยืนที่ไม่ใกล้ชิดกับปักกิ่งเหมือน หม่าอิงจิ่ว ที่กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่ง) เพราะต่างก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างมาก แต่การกระทบกระทั่งกันก็คงจะยังคงมีต่อไป ตราบที่การเมืองระหว่างประเทศยังแบ่งขั้วกันอย่างที่เห็นอยู่

วงเสวนาดำเนินไปถึง 2 ชั่วโมงอย่างคึกคักมีชีวิตชีวาขณะจิบชาจีน และเล่าเรื่องขำขันว่าด้วยเรื่องจีนกับไทยเป็นระยะ ๆ... แม้จะจบลงแล้วก็ยังมีการถกแถลงกันนอกรอบอย่างร้อนแรงต่อเนื่อง

ติดตามซีรีส์ คุยเฟื่องเรื่องเมืองจีนของเหล่ากูรูจีนได้ใน ไทม์ไลน์สุทธิชัย หยุ่น” Nation TV เร็ว ๆ นี้ครับ