ลงโฆษณา Facebook อย่างไร..ให้ได้ผลสูงสุด

ลงโฆษณา Facebook อย่างไร..ให้ได้ผลสูงสุด

วันนี้จะขอมาเปิดเผยเคล็ดลับ ที่ระดับเซียน Digital Marketers เท่านั้นที่รู้!!

นั่นก็คือ เคล็ดลับการลงโฆษณา Facebook ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด! ในราคาที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้นั่นเอง!!

ณ จุดนี้ คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากถึงประสิทธิภาพการลงโฆษณา Facebook กันแล้วนะครับ เพราะหลายครั้งหลายหนมากๆ ที่การลงโฆษณากับทาง Facebook ได้ประสิทธิภาพมากกว่าการลงโฆษณากับ Google เสียอีก ทั้งในแง่ของ Awareness จนกระทั่งถึงยอดขาย

ก่อนที่จะลงลึกในเชิงเทคนิคกัน เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าโฆษณาของ Facebook มีระบบการลงโฆษณาที่เรียกกันว่า “Real Time Bidding” หรือ เรียกง่ายๆว่าเป็นระบบการลงโฆษณาแบบประมูลราคาที่เกิดขึ้นจริงตลอดเวลา

ราคาของกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ลงโฆษณาเลือก จะมีการขยับขึ้นขยับลง เปลี่ยนแปลงกันตลอดเวลา โดยราคาที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลานั้นๆมีผู้เข้าร่วมประมูลมากน้อยแค่ไหน

ซึ่งต่างไปจากการลงโฆษณาแบนเนอร์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีราคาตายตัวแน่นอน โดยที่แต่ละเว็บไซต์จะบอกมาเลยว่า ค่าลงโฆษณาเป็นเดือนละกี่บาท หรือ CPM ละกี่บาท

ณ จุดนี้เองครับ ที่ทำการลงโฆษณากับทางFacebook มีความซับซ้อนพอสมควร เพราะเราต้องเข้าร่วมประมูลแข่งขันราคาค่าโฆษณากับผู้ลงโฆษณารายอื่นๆ

ในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายของเรามีคนสนใจลงโฆษณาจำนวนมาก จะทำให้ราคาค่าลงโฆษณาสูงขึ้นอย่างผิดปกติในทางกลับกันถ้าในช่วงเวลานั้นๆกลุ่มเป้าหมายของเรามีคนสนใจลงโฆษณาน้อย ก็จะทำให้ราคาค่าโฆษณาของเราถูกลงได้เช่นกัน

ทีนี้ประเด็นอยู่ที่ระบบการลงโฆษณาของ Facebook นั้น ถูกออกแบบมาให้เราใช้งานง่ายมากครับ ง่ายชนิดที่เรียกว่าเด็กฝึกงานก็สามารถที่จะลงโฆษณาเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใดครับ (แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรต่อมาวิเคราะห์กันอีกครั้ง)

ขั้นตอนคร่าวๆ ในการเปิดแคมเปญจะมีประมาณนี้

    เลือก Target หรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น สถานที่ เพศ อายุ ภาษาเลือก Interest หรือความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่เราระบุไว้ในข้อหนึ่ง เช่น ชอบดูหนัง, ชอบเล่นเกม, ชอบชอปปิง, คลิก like เพจนั้นเพจนี้ ฯลฯกำหนด Budget มีงบประมาณกี่บาท ใช้ตั้งแต่วันไหนถึงวันไหนตามขนาดที่ทาง Facebook กำหนด

ทำเพียง 4 ขั้นตอน กดปุ่ม Submit พร้อมกรอกข้อมูลการจ่ายเงินให้เรียบร้อย รอไม่ถึง 1 ชั่วโมง จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามา Approve โฆษณาให้ โฆษณาของเราก็จะเริ่มรันโดยอัตโนมัติ จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการโฆษณาที่ง่ายมาก

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ความง่ายนี่แหละครับ ความง่ายทำให้คนส่วนใหญ่ลืมคิดไปว่า จริงๆแล้วโฆษณาของ Facebook เป็นโฆษณาแบบ Real Time Bidding ซึ่งถ้าเราลงโฆษณาแบบง่ายๆ ก็จะส่งผลทำให้เราเสียค่าลงโฆษณาแพงเกินเหตุโดยไม่รู้ตัว!!

ตัวอย่าง สินค้าของเราคือกางเกงยีนส์ ซึ่งมีวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมาย เวลาลงโฆษณา Facebook  เราก็เปิดแคมเปญขึ้นมา 1 แคมเปญ โดยกำหนดช่วงอายุของกลุ่มเป้าหมายเป็น อายุตั้งแต่ 18-25 ปี คนซื้อมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง แล้วกำหนด Interest เป็นคนชอบชอบปิงและชอบแฟชั่น ฟังแล้วก็ดูดี ใช่ไหมครับ กลุ่มเป้าหมายก็ดูถูกต้องดีนี่นา!!

แต่ตรงกันข้ามครับ การลงโฆษณาแบบเปิดเป็นแคมเปญเดียวแบบนี้ กลับทำให้เราจ่ายแพงกว่าเหตุ ที่ถูกต้องจริงๆ เราควรจะแตกแคมเปญออกเป็นแคมเปญย่อยๆ แบบนี้ครับ

แคมเปญ 1 : ผู้ชาย อายุ 18 ปี สนใจชอบปิง

แคมเปญ 2 : ผู้ชาย อายุ 18 ปี สนใจแฟชั่น

แคมเปญ 3 : ผู้หญิง อายุ 18 ปี สนใจชอบปิง

แคมเปญ 4 : ผู้หญิงอายุ 18 ปี สนใจแฟชั่น

แคมเปญ 5 : ผู้ชายอายุ 19 ปี สนใจชอบปิง

ขออนุญาตไม่เขียนหมดนะครับ เพราะมันจะเยอะมาก แต่โดยหลักการแล้วจากกลุ่มเป้าหมายที่เราสนใจในตอนแรกคือ อายุตั้งแต่ 18-25 ปี มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง และ มี Interest เป็นคนชอบชอบปิงและชอบแฟชั่น สามารถแยกย่อยเป็นแคมเปญได้ถึง 8 x 2 x 2 = 32 แคมเปญเลยทีเดียว

ถามว่าทำไม ต้องแตกย่อยเป็นแคมเปญมากมายขนาดนี้ คำตอบคือ ยิ่งเราซอยแคมเปญของเราแยกย่อยลงไปเท่าไหร่ โอกาสที่แคมเปญย่อยของเราจะไปชนกับคู่แข่งก็จะน้อยลงครับ

แคมเปญที่ตั้ง Target แค่อายุ18 ปี อย่างเดียว ย่อมมีคู่แข่งน้อยกว่า แคมเปญที่ตีคลุมอายุตั้งแต่ 18-25 ปี

ข้อดีของการแตกแคมเปญย่อยแบบนี้คือ เราสามารถเห็น performance ของแต่ละกลุ่มย่อยได้ ซึ่งถ้าแคมเปญย่อยไหนมีราคาแพง performance ไม่ดี เราสามารถที่จะกดหยุด แล้วโยกเงินไปยังกลุ่มย่อย ที่มี performance ดีกว่า ถูกกว่าได้ทันที

ถ้าเราทำการมอนิเตอร์ มีการ Optimize แบบตลอดเวลา กดหยุด กดโยก ผมพบกว่าเทคนิคอันนี้ สามารถช่วยประหยัดเงินให้เราได้มากถึง 20-50% เลยทีเดียว ในกรณีที่เป็นแบรนด์ใหญ่ๆ งบโฆษณาจำนวนมาก สามารถประหยัดงบการลงโฆษณาได้อย่างมหาศาล

แต่อย่างไรก็ดีการลงโฆษณาแบบนี้ เปลืองแรงและพลังงานในการลงโฆษณาค่อนข้างมาก แค่เปิดแคมเปญโฆษณา ก็เหนื่อยกันชนิดลิ้นห้อยแล้วไหนจะต้องนั่งเฝ้าแคมเปญเพื่อทำการ Optimize อีก

ขณะนี้พวกต่างชาติ ซึ่งรู้ถึงหลักการข้อนี้ดี ก็เลยทำเครื่องมือ ที่เรียกกันว่า Programmatic Advertising มาซื้อโฆษณา Facebook ให้เราซะเลย โดยผู้ลงโฆษณาไม่ต้องมานั่งเปิด Campaign ย่อย แล้วทำการ Optimize ให้ยุ่งยาก แต่ปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานหน้าที่นี้แทน

อนาคตไม่นานนัก เราคงจะเห็นระบบการลงโฆษณาแบบเป็นอัตโนมัติทั้งหมด

จะมีที่ให้ “โซวบักท้ง” นักการตลาดออนไลน์ยืนไหมน้อ!!