WhereHave All ตำรวจจราจร Gone?

WhereHave All ตำรวจจราจร Gone?

เดือนที่ผ่านมานี้ คนกรุงเทพฯ มีความรู้สึกว่ารถติดมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ส

าทร สุขุมวิท ลาดพร้าว หรือราชดำเนิน สิ่งที่คนใช้รถรู้สึกหงุดหงิดก็คือ แทบไม่เห็นตำรวจจราจรเลย และถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่เห็นมานานแล้วตลอดเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา คำถามก็คือหายไปไหนกันหมด

สาเหตุสำคัญที่ทำให้การจราจรหนาแน่นจนถึงจุดที่เรียกว่ารถติดก็คือ เมื่อความต้องการใช้ผิวถนน (ปริมาณการจราจร) มากกว่าผิวถนนที่มีให้ใช้ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเร่งด่วน อย่างไรก็ดี มีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้การจราจรเลวร้ายลง เช่น พื้นที่ผิวจราจรหายไป (ขุดท่อ รถล้างถนนขีดขวาง สร้างสะพาน หรือสร้างรถไฟกลางเกาะหรือใต้ดิน) หรือจำนวนยานพาหนะเพิ่มขึ้นมากในช่วงเวลาหนึ่งเป็นพิเศษ (ช่วงเวลาเร่งด่วน หรือมีงานมหกรรม) หรือมีการขับช้าลงเพราะเหลือบดูเหตุการณ์ผิดปกติ หรือมีการกั้นปิดถนนบางสายเป็นพิเศษ หรือผู้ขับขี่ทำผิดกฎจราจรกันอย่างกว้างขวาง

ผลเสียของการจราจรติดขัดมีมากมายอย่างที่รู้ๆ กัน (ก) เพิ่มต้นทุนการเดินทาง (ค่าเสียโอกาส กล่าวคือ ถ้ารถไม่ติดก็ได้กลับไปนอนเล่นที่บ้าน หรือเล่นกับหมาที่บ้านนานแล้ว ช่วงเวลาเหล่านี้มีคุณค่าแต่ก็ต้องเสียไปเพราะการจราจรติดขัด) (ข) การไปสาย ไม่ว่าการนัดหมายหรือการทำงาน การไม่สามารถจัดการเวลา ทำให้เกิดการสูญเสียและเสียหาย (ค) ต้องจัดแบ่งเวลาไว้เผื่อรถติดมาก จนสูญเสียเวลาที่ไม่ควรเสียไป (ง) เผาผลาญน้ำมันโดยไม่จำเป็น สูญเสียเงินตราต่างประเทศ (จ) สร้างมลภาวะอากาศ (ฉ) รถสึกหรอมากขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะต้องติดเครื่องไว้ขณะรถติด (ช) คนป่วยเร่งด่วนอาจเสียชีวิต (ซ) โอกาสอุบัติเหตุรถชนกันมีสูงขึ้น เพราะเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวไป ฯลฯ

ข้อเสียสำคัญนอกเหนือจากที่กล่าวมาก็คือ ทำให้เกิดความเครียดในอารมณ์ของผู้ใช้ถนน จนอาจทำให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งฝรั่งเรียกว่า road rage คือ ผู้ขับขี่มีความก้าวร้าวต่อกันมากเป็นพิเศษ ด่าทอกัน สบถสาบาน ลงไม้ลงมือกัน ขับรถคุกคามกันจนเกิดอุบัติเหตุหรืออาชญากรรม

คำนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1987-1988 ในเมืองลอสแองเจลิส ที่มีการจราจรติดขัดอย่างหนัก (ปัจจุบันยังเป็นเมืองที่รถติดมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา รถคันหนึ่งเสียเวลาจากรถติดเฉลี่ยปีละ 64.4 ชม.) จนเกิด road rage มีการยิงกันจนคนตายหลายศพบนถนนหลายสายอย่างผิดสังเกต

นักเศรษฐศาสตร์พยายามอธิบายสภาวะจราจรติดขัด โดยอธิบายว่า เป็นตัวอย่างหนึ่งของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า The Tragedy of the Commons (โศกนาฏกรรมของการใช้ทรัพยากรร่วมกัน) กล่าวคือ เมื่อมีแปลงที่ดินที่ใช้ร่วมกัน ต่างคนก็ต่างใช้ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์อย่างไม่คำนึงถึงคนอื่น เนื่องจากไม่มีค่าใช้ เมื่อทุกคนต่างทำอย่างเดียวกัน ในที่สุดที่ดินแปลงนั้นก็จะมีปัญหาเสื่อมโทรม และเละเทะไปหมด ไม่มีใครคิดจะดูแล ดังนั้น กฎระเบียบที่ออกโดยภาครัฐเพื่อมากำกับดูแลการใช้ที่ดินเช่นว่านี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

เมื่อสามารถใช้ถนนได้โดยไม่มีค่าใช้ ผู้คนก็ใช้รถใช้ผิวจราจรกันอย่างไม่มีขีดจำกัด แต่ละคนไม่มีแรงจูงใจทางการเงินที่จะหลีกเลี่ยงการใช้พื้นที่ถนน ชนิดที่เรียกว่ามากเกินไป ก็จะเป็นเช่นนี้ไปจนถึงจุดที่การจราจรเป็นอัมพาต ยกเว้นแต่จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

Anthony Downs นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้ศึกษาเรื่องนโยบายสาธารณะเสนอว่า การจราจรติดขัดในช่วงเร่งด่วนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะทุกคนจำเป็นต้องใช้ผิวถนนในช่วงเวลานั้น ในสังคมทุนนิยม สินค้าบริการถูกแบ่งสรรโดยการซื้อขาย ใครมีเงินมากน้อยแค่ไหนก็เลือกซื้อกันไป ปัญหาการจราจรก็เหมือนกัน เมื่อการจัดสรรผิวจราจรเป็นไปโดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้ ก็ต้องขยายถนนกันไม่รู้จบสิ้น เพื่อรับมือช่วงเวลาเร่งด่วน การเก็บเงินจากการใช้ผิวถนนในช่วงเวลานั้น จะทำให้บางคนตัดสินใจที่จะไม่ใช้ โดยเลี่ยงไปใช้ในเวลาอื่น ปัญหาติดขัดก็จะลดลง (สิงคโปร์ทำมากว่า 30 ปี อย่างประสบความสำเร็จ ปัจจุบันหลายเมืองก็ทำเช่นลอนดอน มิลาน สต็อกโฮล์ม โกเธนเบิร์ก)

วารสารเศรษฐศาสตร์ชื่อ The American Economic Review ในปี 2011 มีบทความเขียนโดยนักวิจัยจาก London School of Economics and Political Science ซึ่งใช้ข้อมูลการใช้ถนนในสหรัฐอเมริกา จำนวนประชากร การจ้างงาน ภูมิศาสตร์ ปัจจัยการเมือง การเดินทางของปี 1983,1997 และ 2003 วิเคราะห์สภาวะการจราจรและสรุปว่า มีกฎพื้นฐานเกี่ยวกับการจราจรติดขัดว่า “ระยะทางที่เดินทางโดยรถยนต์ จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระยะทางของถนน (คำนวณจากทุกช่องทางการจราจร) ที่มีให้ใช้เสมอ” ข้อสรุปมีนัยว่า การสร้างถนนใหม่ การขยายช่องทางจราจร จะก่อให้เกิดการจราจรเพิ่มขึ้น และจะไม่หยุดจนเกิดการติดขัดสูงสุด การแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดด้วยการเพิ่มพื้นที่ถนนจึงไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง

การเก็บเงินค่าใช้ถนนในบ้านเรายากที่จะเป็นไปได้ ถ้าไม่มีทางเลือกในการเดินทางให้แก่เขา การขยายช่องทางจราจร การเพิ่มผิวถนน ฯลฯ ก็ไม่ช่วยให้การจราจรดีขึ้นในช่วงเวลาเร่งด่วน การบังคับใช้กฎหมายอย่างแข็งขัน โดยผู้มีอำนาจตามกฎหมาย คือตำรวจจราจรเท่านั้นที่อาจช่วยได้อย่างสำคัญ

การไร้วินัยยามไม่มีตำรวจกำกับนั้นเ กิดขึ้นทุกชาติ แต่มากเป็นพิเศษในบ้านเรา ปัจจุบันเราเห็นรถยนต์และรถจักรยานยนต์ขับฝ่าไฟแดงกันเป็นเรื่องปกติ เพราะยากนักที่จะเห็นตำรวจจราจรยืนริมถนนหรือตรงสี่แยกเพื่อปรามพฤติกรรมเหล่านี้ ดังที่เราเคยเห็นกันในอดีต (แม้แต่ “จ่าเฉย” ของผมก็ถูกเก็บไปหมด เพราะเกรงว่าจะเตือนใจให้นึกถึงตำรวจที่หายไป?)

ตำรวจอาจเชื่อว่า การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่โดยมีกล้องถ่ายภาพเพื่อส่งใบสั่งจราจรไปทางไปรษณีย์ เป็นเรื่องสมัยใหม่ที่สบายกว่า และได้ผลกว่าการมาโบกและ “ขู่” กันตามสี่แยก อยากบอกว่าวิธีไฮเทคนี้ ผู้ใช้ถนนเขาไม่กลัว เพราะ (1) ไม่เชื่อว่าจะมีกล้องทุกแห่งและจะใช้งานได้ทุกตัว (2) ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมนุษย์บอกว่า มนุษย์กลัวภัยใกล้ตัวกว่าภัยไกลตัว (มีใบสั่งมาปรับในวันหลัง) ขอฝ่าไฟแดงก่อนแล้ว วันหลังจะปรับค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้ขอเสี่ยงดวงไปก่อน

สงสัยว่าเหตุใดบางครั้งจึงเปิดไฟจราจรแปลกๆ เช่น ปล่อยบางสายนานเป็นพิเศษ (ถูกสั่งหรือเปิดเพื่อเอาใจนายที่บ้านอยู่แถวนั้น?) เมื่อเหลียวไปมองป้อมตำรวจตามสี่แยก ก็ไม่เห็นตู้ใดเลยที่ดูเป็นมิตร ทุกตู้ล้วนมีกระจกสีดำมืดมิดจนมองเข้าไปไม่เห็นราวกับเป็นไนต์คลับ ไม่มีทาง รู้ว่ามีตำรวจอยู่หรือไม่

แรงจูงใจในการทำงานเป็นเรื่องที่เราเห็นใจ การที่สถานีตำรวจได้ส่วนแบ่งจากใบสั่งจราจร และอาจได้น้อยลงตามอารมณ์ของผู้กำกับ จนไม่อยากออกมาโชว์ตัวตามสี่แยกตอนรถติดเพราะกลัวโดนด่า ควันก็เหม็น ร้อนก็ร้อนนั้นเราก็เห็นใจ แต่อย่าลืมนะครับว่า ท่านก็รับเงินเดือนเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งก็มาจากภาษีของพวกเรา ดังนั้น การดูแลจราจรเป็นความรับผิดชอบพื้นฐาน ส่วนเงินจากแรงจูงใจนั้นเป็นของแถม

ปัจจุบันเราไม่รู้จักผู้บังคับการจราจร (เดี๋ยวนี้เรียกตำแหน่งนี้ว่าอะไรก็ไม่รู้ ยศอาจถึง พลตำรวจโท) ไม่เคยเห็นออกโทรทัศน์มาชี้แจง ไม่เคยเห็นตำรวจยศระดับนายพันมายืนดูแลกำกับการจราจรแบบสมัยก่อนเลย ตำรวจจราจรผู้น้อยก็กลายเป็นนินจา เห็นตัวได้ยากเต็มที การย้ายผู้รับผิดชอบการจราจรของกรุงเทพฯ ไปมาอยู่เนืองๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่ต่อเนื่อง ไม่มีผู้ใหญ่หาญกล้าออกมารับผิดชอบ จนคนกรุงรู้สึกว่ามีการขาดความรับผิดชอบในเรื่องการจราจรของกรุงเทพฯ

ตำรวจจราจรกรุณากลับมาทำหน้าที่ของท่านเถอะครับ ต่างคนต่างทำหน้าที่ พวกเราผู้ใช้ถนนก็ทำหน้าที่ของเรา ในฐานะผู้เสียภาษีจ่ายเป็นเงินเดือนท่านอยู่แล้วตลอดเวลาที่รถติด เผาผลาญน้ำมันราคาสูงเพราะภาษี