นักวิชาการไม่สามารถล้มรัฐประหารได้

นักวิชาการไม่สามารถล้มรัฐประหารได้

นับว่าเป็นก้าวที่พลาดครั้งสำคัญของ คสช.ที่มอบอำนาจให้นายทหารผู้หนึ่ง ไปแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำ

เครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย จำนวนรวมหกคน ในข้อหาร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 ข้อ 12 ซึ่งมีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจํา ทั้งปรับ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการที่เครือข่ายฯ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ในหัวข้อ “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” เพื่อยืนยันในสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ ที่จะแสวงหาและถ่ายทอดความรู้ในการเรียนการสอน

ผลจากแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว มีผู้สนใจติดตามในโซเชียลมีเดียจำนวนเพียงหลักพัน แต่ภายหลังที่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดี การณ์กลับกลายเป็นว่ามีผู้สนใจเข้าไปอ่านจำนวนเป็นแสน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ลำพังพลังของนักวิชาการหรือเนื้อหาของแถลงการณ์ของนักวิชาการเอง ไม่ได้มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองมากนัก แต่เมื่อมีการแจ้งความดำเนินคดีเกิดขึ้น ความสนใจกลับทวีเพิ่มมากขึ้น และจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก หากมีการจับกุมคุมขังคณาจารย์เหล่านั้นเข้าคุกเข้าตารางจริงๆ (ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้ประกันตัวหรือไม่ขอประกันตัว เพราะถือว่าตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร) ซึ่งตัวอย่างในทำนองเดียวกันนี้ก็มีให้เห็นแล้วคือ กรณีการจับกุมคุมขังกลุ่มนักศึกษาดาวดินที่ผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้

จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมาในอดีตนับแต่ยุค 14 ตุลา 16 มีการจับกุมกลุ่มนักวิชาการและนักการเมืองที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญ จำนวน 99 คน นำมาซึ่งการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารกับนักวิชาการและนักศึกษา จนทำให้คณะรัฐบาลของจอมพลถนอม จอมพลประภาส ต้องล่มสลายลง จนถึงกรณีพฤษภา 35 ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากไม่มีการใช้กำลังเข้าปราบปรามและจับกุมผู้นำของการเดินขบวนแล้วไซร้ รัฐบาลของพลเอกสุจินดาก็คงไม่ต้องล้มคว่ำลง

ผมขอยืนยันว่า ยังไม่เคยปรากฏว่าผลงานหรือกิจกรรมล้วนๆ ของนักวิชาการ จะสามารถล้มรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารได้เลย การล้มคว่ำของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารในอดีต ล้วนแล้วแต่เกิดจากตัวของรัฐบาลเอง ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงอำนาจกันเองเมื่อได้อำนาจมาแล้ว เช่น คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนจบลงด้วยการรัฐประหาร 2490 หรือการก่อกบฏในหลายต่อหลายครั้งจนถูกยิงเป้า สังเวยความแตกแยกภายในพวกเดียวกันเองทั้งสิ้น

การทุจริตคอร์รัปชันและการใช้อำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จบลงด้วยการถูกโค่นล้มจากพวกเดียวกันเอง เช่น การโค่นล้มอำนาจของจอมพล ป.กับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตช์ ก็ดี การยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ถึงกว่า 600 ล้านบาท เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน (สมัยนี้น่าจะมีค่าเป็นร้อยเท่าพันทวีแล้วกระมัง) ภายหลังจากการอสัญกรรมโดยจอมพลถนอมที่เป็นทายาทของตนเองก็ดี ล้วนแล้วแต่เกิดจากคนกันเองทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากนักวิชาการแต่อย่างใด

หน้าที่ของนักวิชาการคือ การค้นคว้าหาความรู้และนำไปถ่ายทอดต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นนิสิต นักศึกษา หรือต่อสาธารณะ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ แน่นอนว่าอาชีพนักวิชาการก็เหมือนอาชีพอื่น ที่มีทั้งขาวทั้งดำหรือเทาๆ ผู้ที่ฉลาดก็ย่อมที่จะเลือกเอาสิ่งที่ดีมีประโยชน์ไปใช้ ไปปรับปรุง หรือหากเห็นว่าไม่มีประโยชน์ก็โยนทิ้งไป แต่ไม่ใช่การไปจับกุมคุมขังด้วยข้อหาว่า ชุมนุมกันตั้งห้าคนขึ้นไปทั้งๆ ที่เป็นเวทีวิชาการเช่นนี้

นักวิชาการไม่สามารถล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารได้ แต่การใช้อำนาจของคณะรัฐประหาร เข้าจับกุมคุมขังนักวิชาการ หรือใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมที่มีนักศึกษาและนักวิชาการต่างหาก ที่ทำให้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารล้มลง และเมื่อประกอบเข้ากับปัจจัยภายในของคณะรัฐประหารเอง ผสมเข้ากับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาย่อมที่จะทำให้เป็นตัวเร่งให้ถึงจุดจบ

ช้าหรือเร็ว มากหรือน้อย ประเทศก็ต้องเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตย ไม่มีใครสามารถหยุดประเทศไว้ได้ตลอดไป ทางที่ดีที่สุดก็คือ ต้องช่วยกันประคับประคองไม่ให้มันเลวร้ายไปยิ่งกว่านี้ การจับกุมคุมขังนักวิชาการในครั้งนี้ ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็ไม่เห็นผลดีเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นผลต่อดีต่อประเทศหรือผลดีต่อคณะรัฐประหารเอง มีแต่ว่าจะเกิดผลเสียด้วยกันทุกฝ่าย

กาน้ำร้อนที่ไม่รูระบาย ย่อมทำให้กาน้ำนั้นระเบิดเสียหายฉันใด ประเทศที่ประชาชนและนักวิชาการไม่มีสิทธิมีเสียงในการแสดงความเห็นโดยสุจริต ก็เสี่ยงต่อการล่มสลายฉันนั้น ความไม่พอใจที่คุกรุ่นก็เหมือนกาน้ำร้อนที่รอวันระเบิด การจำกัดสิทธิเสรีภาพที่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของโลก ก็ย่อมถูกรังเกียจเดียดฉันท์จากนานาอารยประเทศ ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับประเทศทั้งหลายในโลกนี้ เรายังต้องคบหาสมาคมและค้าขายพึ่งพาจากต่างประเทศอยู่ เว้นเสียแต่ว่าเราไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่นี่เราก็ไม่รู้ เขาก็ไม่รู้ มีแต่เอาเชื้อไฟเข้ามาสุม ถ้าหากการใช้อำนาจปิดหูปิดตาแล้วมันได้ผลดี ทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองแล้วไซร้ ประเทศอื่นอีกกว่าสองร้อยประเทศทั่วโลก คงใช้วิธีนี้กันหมดแล้วใช่ไหมครับ