'ราชภักดิ์'ยังร้อนต่อ

'ราชภักดิ์'ยังร้อนต่อ

หลังผลสอบคณะกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงโครงการ ‘อุทยานราชภักดิ์’

 ที่แต่งตั้งโดย“บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) ยังคงค้างคาใจของหลายคน

เนื่องจากการเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ของพล.อ.ธีรชัยแทบจะเป็นการสรุปว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์ ไม่มีทุจริต ดำเนินการด้วยความโปร่งใส ส่วนเงินในบัญชีการบริจาคตอนนี้เหลือเงิน 33 ล้านบาท ไม่รวมเงินที่อยู่ในมูลนิธิราชภักดิ์ และผลการตรวจสอบบัญชีรายได้ของกองทุนก็ถูกต้องทุกขั้นตอน

นี่เอง แทนที่จะทำให้การตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ จบลงด้วยความกระจ่างและประชาชนยอมรับผลการตรวจสอบ กลับยิ่งเพิ่มความสงสัย และต้องการให้องค์กรอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตเข้าไปตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง

อย่างกรณีที่มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ก็นับว่าน่าสนใจ

“ปัญหามูลนิธิโครงการราชภักดิ์เป็นเรื่องใหญ่อาจกล่าวได้ว่า เป็นกรณีอื้อฉาวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับตั้งแต่เข้ามาทำงานในช่วงระยะเวลา 1 ปีครึ่ง แม้ผลการตรวจสอบจะออกมาว่าไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ควรที่จะปิดเรื่องราวดังกล่าวให้จบในลักษณะที่ทำอยู่เช่นนี้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นยังเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ เพราะยังไม่ได้ข้อสรุปที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน”

“มานะ”ชี้ให้เห็นด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีประเด็นปลีกย่อยหลายเรื่อง เช่น เรื่องต้นปาล์ม เรื่องโต๊ะจีนหรือเรื่องของค่าจัดสร้างพระบรมรูป เป็นต้นก็ควรจะมาชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจ เป็นรายประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องของราคา ซึ่งไม่ว่าจะถูกหรือแพงต่างก็มีเงื่อนไขสำหรับการตัดสินใจในหลายประการ ทั้งในเรื่องของเวลาที่จำกัด คุณภาพดังนั้นหากทำการตรวจสอบเป็นรายประเด็นแล้วเมื่อทำการชี้แจง ก็เชื่อว่าประชาชนจะสามารถเข้าใจและยอมรับได้

ส่วนปัญหาเรื่องของเงิน โดยเฉพาะเป็นเงินบริจาคหากถูกบริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเกิดกรณีที่ผู้บริจาคเงินร้องเรียนว่ามีการนำเงินที่บริจาคไปใช้อย่างทุจริต ก็จะเป็นอำนาจที่ชัดเจนให้องค์กรอิสระ เช่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.), คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าไปทำการตรวจสอบได้

ขณะที่ ป.ป.ช.ก็พร้อมตรวจสอบนับจากนี้ โดยวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกคณะกรรมการป.ป.ช.กล่าวว่า ป.ป.ช.ได้มอบหมายให้เลขาธิการป.ป.ช.และเจ้าหน้าที่ ดำเนินการติดตามและรวบรวมข้อมูล โดยเป็นการติดตามข่าวสารจากสื่อมวล และส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักการข่าวในสำนักงานป.ป.ช. ไปประสานงานกับทางกองทัพบกเพื่อนำข้อมูลมาดูว่าจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร

เนื่องจากแต่เดิมเป็นคดีที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ทั้งนั้นแต่ยังไม่ใช่เรื่องทุจริต

ถามว่าป.ป.ช.จะกล้าตั้งอนุกรรมการขึ้นไต่สวนเรื่องนี้หรือไม่“วิชา”กล่าวว่า “จะกล้าหรือไม่กล้าไม่รู้ แต่เรารู้ว่าเรามีหน้าที่ต้องทำเพราะไม่เช่นนั้นเลขาธิการป.ป.ช. คงไม่นำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.เมื่อวันที่19พฤศจิกายน

อีกด้านที่น่าสนใจ คือ การกลายเป็นเงื่อนไข ต่อสู้ทางการเมือง หลังจากก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. (กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) มีเพียงประเด็นเรียกร้องประชาธิปไตย และจำนำข้าวเท่านั้น ที่เป็น“เงื่อนไข”ต่อสู้ แต่เวลานี้อุทยานราชภักดิ์กำลังจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะ อีกชิ้นหนึ่ง

ทั้งยังสามารถสร้างผลกระทบได้โดยตรงถึง“คสช.”และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อีกด้วย เพราะอย่าลืม คนที่รับผิดชอบโครงการก็คือ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ.

โดยได้ข่าวว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเตรียมกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวเรื่องนี้อยู่แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางออกที่สง่างามที่สุด และอาจสยบเกมการเมืองได้ด้วย ก็คือ การปล่อยให้องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่เข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยไม่มีการปิดกั้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจและตอกย้ำว่า “คสช.” และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับการปราบทุจริตแล้ว ยังจะได้ใจประชาชนที่มิเสียแรงฝากความหวังเอาไว้ด้วย

หาไม่แล้ว ก็จะส่งผลอย่างสูงต่อความน่าเชื่อถือและไม่มีความเชื่อมั่นอีกต่อไป