คิดได้ยังไงเนี่ย

คิดได้ยังไงเนี่ย

คำพูดว่า “คิดได้ยังไงเนี่ย” มักเกิดจากความรู้สึกประทับใจ ในความคิดที่เฉียบคมของใครสักคน ที่สามารถคิดในสิ่งที่คนทั่วไปคิดไม่ถึง

ถือว่าเป็นคำชมเชยในสติปัญญาของคนๆนั้น 

แต่บางครั้ง คำพูดเช่นนี้ ก็อาจถูกนำมาใช้ในความหมายตรงกันข้าม คือเมื่อใครสักคนทำอะไรลงไปโดยขาดสามัญสำนึกอย่างยิ่งยวด และทำให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นหรือสังคมส่วนรวม ซึ่งวันนี้ผมขอนำคำดังกล่าว มาใช้ในความหมายนี้

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา “สถาบันสิ่งแวดล้อมของอเมริกา” หรือ EPA (Environmental Protection Agency) ได้แถลงข่าวที่น่าตื่นตระหนกอย่างยิ่งว่า ผู้ผลิตรถยนต์ โฟล์คสวาเก้น ได้ติดอุปกรณ์พิเศษ เพื่ออำพรางความจริง ต่อเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบการปล่อยควันพิษ ในรถยนต์ดีเซล โฟล์คสวาเก้น และเอาดี้ จำนวนรวมกัน 500,000 คัน โดยกระทำการดังกล่าวมาเป็นระยะเวลา 7 ปีแล้ว

อุปกรณ์พิเศษที่บริษัทได้ติดไว้นั้น จะเริ่มทำงานเมื่อรถยนต์ถูกทดสอบโดยเจ้าหน้าที่ และมีผลให้ “สอบผ่าน” ทุกครั้งไป แต่หลังจากนั้น เมื่อนำรถยนต์ไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค และผู้บริโภคนำไปใช้บนท้องถนนทั่วไปแล้ว การปล่อยควันพิษที่แท้จริงจะสูงกว่า ที่ EPA ได้กำหนดไว้ ถึง 35-40 เท่า!

พูดง่ายๆก็คือโฟล์คสวาเก้น ตั้งใจหลอกเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สอบผ่านเกณฑ์ในการปล่อยควันพิษหรือถ้าจะเรียกให้ชัดก็คือ ตั้งใจโกง ทั้งๆที่โฟล์คสวาเก้น เป็นบริษัทยิ่งใหญ่ระดับโลก แต่ก็เลือกที่จะทำเช่นนี้ และทำโดยตั้งใจ มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือเหตุอื่นใดเลย ดังนั้น ความรู้สึกของผม ทันทีที่ได้รับทราบข่าวนี้ก็คือพวกเขา.... “คิดได้ยังไง (วะ) เนี่ย?”
ข่าวออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ 18 กันยายน โดย EPA แจ้งว่ามูลค่าปรับ ที่โฟล์คจะต้องจ่าย อาจสูงถึง 18,000 ล้านเหรียญ และในขณะนั้นยังไม่มีใครทราบว่าโฟล์ค ได้ติดอุปกรณ์เช่นเดียวกันนี้ เพื่อหลอกลวงเจ้าหน้าที่ตรวจสอบควันพิษ ของประเทศอื่นๆ ด้วยหรือไม่ โฟล์คจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอีกมากเพียงใด ที่จะเกิดจากการเรียกรถยนต์กลับคืนมาแก้ไขปัญหา รวมทั้งคดีที่นักลงทุน และผู้บริโภค อาจฟ้องร้อง ฯลฯ ฯลฯ

ระยะแรก ผู้บริหารของ โฟล์ค ยังสงวนท่าที แต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ได้ออกมายอมรับสารภาพว่าบริษัทได้ทำเช่นนั้นจริง ในอเมริการวม 500,000 คัน โดยซีอีโอของโฟล์ค - อเมริกา ออกมายอมรับผิดว่า “เรามั่วจริงครับ” เท่านั้นแหละครับ พอเปิดมาวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ราคาหุ้นของบริษัทโฟล์คสวาเก้น ก็ร่วงผล็อยลงทันที 20%

ในยุคที่ธุรกิจทั่วโลก (รวมทั้งบริษัทโฟล์คสวาเก้นเอง) ต่างพูดถึงคำว่า คุณค่า จริยธรรม และ ซีเอสอาร์ กันอย่างสม่ำเสมอนั้น บริษัทที่อยู่มานานและมีชื่อเสียงระดับนี้ กลับทำในสิ่งที่ ผมถือว่า เลวร้ายอย่างยิ่ง และกระทำอย่างตั้งใจ ซึ่งก็จะต้องถามต่อ และต้องเอาความจริงออกมาให้ได้ ก็คือ ใครเป็นคนคิด และใครเป็นคนอนุมัติให้ทำ

บอร์ดของบริษัทโฟล์คสวาเก้น ได้รีบประชุมฉุกเฉิน และมีมติให้ซีอีโอ ออกจากตำแหน่งทันที พร้อมกับแต่งตั้งซีอีโอ คนใหม่ เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ แต่นับจนถึงขณะนี้ สถานการณ์ ก็มีแต่จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ

เพราะนับจนถึงล่าสุดเมื่อเช้าวานนี้ ราคาหุ้นได้หล่นฮวบลงไปกว่า 41% แล้ว ในขณะที่บริษัท ก็ได้ออกมายอมรับ ว่ามีรถยนต์ดีเซล ของโฟล์ค และแบรนด์ที่เกี่ยวข้องทั่วโลก คือ เอาดี้ สโกด้า ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึง 11 ล้านคัน เพราะโฟล์คได้ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการหลอกเจ้าหน้าที่ประเทศต่างๆ เพื่อให้สอบผ่าน

ต้นทุนที่จะต้องเกิดกับบริษัทแน่ๆ ก็คือค่าปรับต่างๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอีกมากมาย ในการนำรถยนต์จำนวนหลายล้านคันมาปรับใหม่ทางเทคนิค เพื่อให้อยู่ในสภาพที่สะท้อนการปล่อยควันพิษที่ถูกต้องแท้จริง รวมทั้งการฟ้องร้องคดี โดยนักลงทุน และผู้บริโภค อีกจำนวนมากมาย

แต่ที่แน่ๆก็คือต้นทุนจำนวนมหาศาลต่อสังคม ที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพราะรถยนต์ต่างๆในตระกูลของโฟล์ค จำนวนหลายล้านคัน ได้ปล่อยควันพิษสู่สภาพแวดล้อม มากกว่าที่ทุกคนเข้าใจ หลายเท่าตัว และมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์ ทำลายสภาพแวดล้อมของโลกให้เสื่อมโทรมเร็วขึ้น ตรงนี้ ยอมรับไม่ได้จริงๆ

คำกล่าวของผมที่ว่า คิดได้ยังไงเนี่ย อาจไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป อาจจะต้องพูดเสียใหม่ว่า ที่บริษัททำแบบนี้อย่างตั้งใจมาโดยตลอดน่ะ “เอาส่วนไหนของร่างกายมาคิด” (วะ)
นักกฎหมายบางคนบอกว่าควรฟ้องผู้บริหาร เป็นคดีอาญา ด้วย แม้กระทั่งบอร์ดคนหนึ่ง ก็ยังออกมาพูดว่าฝ่ายบริหารไม่เคยแพร่งพรายเรื่องนี้ให้บอร์ดรับทราบเลย เห็นสมควรฟ้องคดีอาญา ต่อผู้บริหารเช่นกัน

ความน่าเชื่อถือของบริษัท ได้สูญหายไปอย่างสิ้นเชิง และไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด จึงจะเรียกคืนได้สำเร็จ แต่ที่จะต้องติดตามกันต่อไปก็คือ กรณีนี้จะคลี่คลายออกมาอย่างไร ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ใครคือผู้มีอำนาจสูงสุดที่รับรู้ และอนุมัติให้ทำ

จนถึงขณะนี้ ซีอีโอ ต้องลาออกไปแล้ว นอกจากนั้น บอร์ดยังกดดันให้วิศวกรระดับอาวุโส อีกหลายคนต้องลาออก ราคาหุ้นร่วงไปแล้ว กว่า 41% ผู้ถือหุ้นกำลังจะฟ้องร้อง บริษัทจัดอันดับเครดิต อาจประกาศลดอันดับ ฯลฯ นี่แหละครับ คือราคาของความน่าเชื่อถือ

คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่าใครหนอ เป็นคนที่ค้นพบความจริงเรื่องนี้ พระเอก ของเราเป็นเพียงวิศวกรธรรมดา คนหนึ่ง ชื่อ จอห์น เยอรมัน (John German) เขาทำงานอยู่กับองค์กรไม่หวังผลกำไร มีหน้าที่ตรวจสอบควันพิษของยานยนต์ประเภทต่างๆ และก็เป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะเขาและทีมงานเชื่อว่าอเมริกาน่าจะมีมาตรฐานการตรวจ ที่เข้มข้นกว่ายุโรป จึงได้เข้ามาศึกษา เพื่อหวังจะนำวิธีการที่ดีกว่าของอเมริกา ไปใช้ในยุโรป แต่ในที่สุด กลับไปพบข้อเท็จจริงดังกล่าว!

สรุปได้ว่า หนึ่ง... กรรมนั้นมีจริง ใครทำอะไรไว้ ย่อมได้ผลตอบสนอง ดังเช่นโฟล์คสวาเก้นนี่แหละ สอง... คนตัวเล็กๆ ก็ทำงานใหญ่ได้ ถ้ามุ่งมั่นและจริงจัง อย่างเช่นจอห์น เยอรมัน ก็สามารถเปิดหน้ากากของบริษัทระดับโลกหรือผู้ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ ครับ