อองซานซูจี : ประชาธิปไตยพม่า เหมือน‘เด็กขาดสารอาหาร’
เธอบอกว่าประชาธิปไตยของพม่าวันนี้เหมือน “เด็กขาดสารอาหาร”
เธอบอกว่าวันนี้รู้แล้วว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู
และวันนี้เธอก็เลือกแล้วว่าประธานสภาที่ชื่อ “ฉ่วยมาน” ที่เพิ่งถูก “ปฏิวัติเงียบ” และถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานพรรครัฐบาล หรือ USDP (Union Solidarity and Development Party) เป็น “มิตร”
แต่เธอไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพรรคทหารเป็น “ศัตรู” หรือไม่
ล่าสุดพรรค NLD (National League for Democracy) ของเธอประกาศจับมือกับอดีตผู้นำนักศึกษาที่ตั้งเป็นกลุ่มชื่อ Generation 88 เพื่อลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้
อองซานซูจีเตรียมทำศึกการเมืองรอบใหม่ เมื่อ 25 ปีก่อน พรรคของเธอชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ได้คะแนนเสียงกว่า 80% แต่กองทัพไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง จับเธอกักบริเวณ และปราบปรามคนที่คิดต่างอย่างรุนแรง จนวันนี้ ทหารต้องยอมเปิดประเทศ และให้ประชาชนตัดสินชะตากรรมอีกครั้ง
เธอบอกว่าหากการหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นไปอย่างเปิดเผยและยุติธรรม พรรคของเธอจะชนะท่วมท้น
แต่เธอก็ยอมรับว่ามีความหวั่นใจว่าอาจจะมีการโกงเลือกตั้ง ที่จะทำให้ประชาธิปไตยของพม่าเป็นเพียงรูปแบบผิวเผินเท่านั้น
“ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม พรรคเราก็จะชนะเลือกตั้งแน่นอน และดูจากรัฐบาลก่อน ๆ นี้ ยังไง ๆ เราก็ตั้งรัฐบาลที่ดีกว่าของก่อนเก่าแน่นอน...” อองซานซูจีบอก
ที่เธอกลัวมากคือ “การใช้ศาสนาเพื่อเป้าหมายทางการเมือง” อันหมายถึงการที่รัฐบาลของประธานาธิบดีเต็งเส่ง และพรรค USDP อาจใช้ศาสนามาเป็นเครื่องมือในการหาเสียง ซึ่งจะทำให้เกิดความแตกแยกและอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้
เธอบอกว่าทางการไม่ได้ทำอะไรกับการที่พรรคของเธอ ได้ร้องเรียนว่าคู่แข่งทางการเมืองได้ “โจมตี” ลูกพรรคของเธอในงานพิธีศาสนาอย่างน้อยสองครั้ง
แม้จะมีอุปสรรครอบด้าน เธอและพรรค NLD ก็จะไม่ถอย เตรียมส่งผู้สมัครทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 1,000 คนให้ครบเกือบทุกเขตเลือกตั้ง
แต่แม้พรรคเธอจะได้เสียงข้างมากในสภาหลังเลือกตั้ง อองซานซูจีก็ไม่อาจจะเป็นประธานาธิบดีได้ เพราะพรรคกองทัพไม่ยอมยกมือแก้รัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่ห้ามผู้มีคู่แต่งงานหรือลูกเป็นคนต่างด้าวทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญฉบับทหารตั้งแต่ปี 2008 นี้เขียนขึ้นเพื่อจะสกัดเธออย่างชัดเจนเพราะสามีผู้ล่วงลับเป็นอังกฤษ และลูกชายสองคนของเธอก็มีสัญชาติอังกฤษเช่นกัน
ประเด็นใหญ่ก็คือว่า หากพรรคของเธอได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ในสภา เธอจะเสนอใครเป็นประธานาธิบดี? คนที่เธอเสนอจะเป็นที่ยอมรับของกองทัพพม่าหรือไม่?
เดิมทีเชื่อกันว่า ฉ่วยมาน ในฐานะที่เป็นประธานสภาและหัวหน้าพรรครัฐบาล และมีความคุ้นเคยกับอองซานซูจีอาจจะเป็น “ตัวเลือก” ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
แต่เมื่อเต็งเส่งจัดการปลด ฉ่วยมาน ออกจากตำแหน่งในพรรคเหลือเพียงเป็นประธานสภาเท่านั้น สมการการเมืองของพม่าหลังเลือกตั้งก็ปรับเปลี่ยนอย่างกะทันหัน
ยิ่งเมื่อ อองซานซูจี บอกว่าเธอจะเปิดเผยชื่อคนที่พรรคจะเสนอเป็นประธานาธิบดีหลังรู้ผลการเลือกตั้ง และ “จะเป็นคนจากในพรรคแน่นอน” ความไม่แน่นอนทางการเมืองของพม่าก็ยิ่งจะสูงขึ้น
การเมืองพม่ากำลังเข้าสู่ช่วงแปรปรวนครั้งสำคัญอีกรอบ หากประชาธิปไตยพม่าเป็นเสมือน “เด็กขาดสารอาหาร” อย่างที่อองซานซูจีเปรียบเปรย ใครจะเป็นคนป้อนอาหารให้การเมืองพม่าเติบใหญ่อย่างแข็งแกร่ง?
ไม่ว่าโลกตะวันตกจะใช้แรงกดดันเพียงใด ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเชื่อมโยงกับคำว่า “ประชาธิปไตย” อย่างไร สุดท้ายก็อยู่ที่ประชาชนคนพม่าจะตัดสินว่า หากทุ่มเสียงส่วนใหญ่ให้กับอองซานซูจีจริง จะยอมให้เธอก้าวขึ้นมาปกครองประเทศแทนกองทัพหรือไม่?
เพราะในวัย 70 นี่เกือบจะเรียกว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่ อองซานซูจี จะอาสามารับใช้ประเทศในฐานะผู้นำได้อย่างเต็มภาคภูมิ