ความปั่นป่วนยังไม่จบ

ความปั่นป่วนยังไม่จบ

สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอย่างหนัก โดยมีการให้เหตุผลว่าวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกอย่างจีน

 ซึ่งไม่ได้ออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการจัดซื้อที่เอกชนทำการสำรวจ ต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี การดำดิ่งของตลาดมีขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางการจีน ได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาเป็นระยะๆ รวมถึงประคองตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้น 150% ในช่วง 12 เดือนก่อนดิ่งลงนับจากเดือนมิถุนายน

ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ปรับตัวลงต่อเนื่อง ส่วนตลาดหุ้นอื่นก็ผันผวนหนักจนต้องออกมาตรการสยบความผันผวนครั้งใหญ่ อย่างไต้หวันที่ไฟเขียวให้กองทุนสร้างเสถียรภาพการเงิน เข้าซื้อหุ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพแก่ตลาด นอกจากนั้น คณะกรรมการดูแลการเงินยังอาจใช้มาตรการอื่น เพื่อสร้างเสถียรภาพแก่ตลาดหุ้นในกรณีที่จำเป็น อีกทั้งบริษัทต่างๆ ยังเข้าพยุงตลาดด้วยการซื้อคืนหุ้นตัวเอง ส่วนตลาดหุ้นอินโดนีเซียได้จำกัดการดิ่งลงของหุ้นในแต่ละวันไม่ให้เกิน 10% และรัฐวิสาหกิจได้จัดทำแผนซื้อคือหุ้นตัวเอง ขณะที่ผู้นำของหลายประเทศก็ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าจีน สามารถบริหารจัดการเศรษฐกิจของตัวเองได้ และมองว่าผลกระทบต่อประเทศตนเองจะมีไม่มากนัก

ในส่วนของธนาคารกลางจีน ก็ได้ประกาศลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 นับจากเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว พร้อมทั้งลดสัดส่วนกันสำรองภาคธนาคารลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้มีการปล่อยกู้มากขึ้น การเคลื่อนไหวนี้ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและดันดัชนีในหลายตลาดของเอเชียและประเทศอื่นๆ ให้พุ่งขึ้น ประกอบกับผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขานิวยอร์ก ระบุว่าเหตุผลที่จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ลดน้อยถอยลงไปเพราะเกิดความปั่นป่วนในตลาดเงินโลก แต่ก็เตือนว่าไม่ควรมีปฏิกิริยามากเกินไปกับการเคลื่อนไหวระยะสั้นในตลาด พร้อมเปิดทางของความเป็นไปได้ที่จะมีขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 กันยายน

ข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ประกอบกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ตลาดเงินทั่วโลก ในช่วง 2-3 สัปดาห์หน้า จะเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเรื่องดอกเบี้ยของเฟด เพราะพัฒนาการในโลกเพิ่มความเสี่ยงขาลงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง สร้างความตึงตัวแก่ตลาดเกิดใหม่และเพิ่มความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว อันจะทำให้ความต้องการสินค้าและบริการสหรัฐลดน้อยตามไปด้วย

ดังนั้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อาจเป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผันผวนจะกลับมาเยือนได้อีก เหมือนที่เกิดขึ้นสัปดาห์นี้ทั้งที่จีนเคยอธิบายแล้ว ว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้าง จากที่เน้นการส่งออกและการลงทุน ไปเป็นการบริโภคในประเทศ ซึ่งในช่วงของการปรับเปลี่ยนนี้ เศรษฐกิจอาจขยายตัวสูงไม่เท่าเดิม แต่ก็ยังนับว่าไม่ต่ำจนเกินไป ซึ่งหากดูจากการปรับโครงสร้างจีนแล้ว ประเทศต่างๆ ที่พึ่งพาการค้าขาย ส่งออกไปยังจีน อาจจะเริ่มทบทวนเช่นกันว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของตัวเองบ้างหรือไม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าหรือความยั่งยืนให้แก่การเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการออกมาตรการระยะสั้นหรือระยะกลาง เพื่อรับมือกับความผันผวนเป็นคราวๆ ไป