กฎหมายที่หายไป
วันก่อนเคร่ือข่ายเยาวชนปกป้องนักดื่มหน้าใหม่ ออกมาทำกิจกรรมเชิงสัญญลักษณ์ พร้อมยื่นหนังสือทวงถาม ยงยุทธ ยุทธวงศ์
ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ถึงความคืบหน้ากฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถาบันการศึกษาในรัศมี 300 เมตร
+++ ด้วยมีข้อ “กังขา”ว่าในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในประกาศสำนักนายกฯ ฉบับนี้ไปตั้งแต่ 20 ก.ค. หมายความว่าผ่านเวลามาแล้วครึ่งเดือน แต่เหตุใดกฎหมายจึงยังไม่ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้
+++ นี่หากเป็นรัฐบาลการเมือง ที่มักมีผลประโยชน์แอบแฝง อาจจะถูกมองได้ว่ามีการล็อบบีี้จาก “ขาใหญ่” ในวงการน้ำเมา เพราะกฎหมายดีดีแบบนี้ จู่ๆ เกิดชะงักเอากลางคัน เป็นใครก็ต้องเกิดข้อกังวลสงสัยเป็นธรรมดา
+++ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการประกาศใช้ มาตรา44 ที่พอดู “ไส้ใน” แล้วเป็นเพียงแค่การบอกกล่าวให้ใช้กฎหมาย “ที่มีอยู่เดิม” อย่างจริงจัง ในเรื่องการควบคุมอายุนักเที่ยว และเรื่องของเวลาปิดสถานบริการ ไม่ได้มีเนื้อหาสาระเรื่อง “เซฟตี้โซน” อย่างที่มีีการเรียกร้องและรอคอยกันมายาวนาน “7 ปี 4 รัฐบาล” ทำให้ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกมองได้ว่าเป็นการสับขาหลอก
+++ ส่วนแนวคิดยกเลิกการจัดสรรเงิน“ภาษีบาป” โดยตรงให้กับทั้ง สสส. ไทยพีบีเอส และกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ของ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ต่อ บวรศักดิ์ อุวรรโณ เพื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้เงินของทั้ง 3 หน่วยงานเข้ามาอยู่ในระบบงบประมาณแผ่นดิน มุมมองของ สมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ออกมาขานรับและยืนยันในหลักการว่าการจัดสรรงบประมาณควรผ่านกระบวนการพิจารณาของสภาฯ
+++ เพราะเกรงว่าการจัดสรรงบโดยตรง จะส่งผลกระทบต่อวินัยการคลังและการจัดสรรงบประมาณ ที่สำคัญที่ผ่านมาการตรวจสอบการใช้จ่ายที่แท้จริงก็ทำได้ยาก แถมเม็ดเงินเหลือจ่ายในแต่ละปียังไม่มีการส่งคืนคลัง
+++ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรคงต้องรอฟังเสียงอีกด้านทั้งไทยพีบีเอส และ สสส.ที่มีข่าวว่าบรรดาเครือข่ายจะมีการล่ารายชื่อคัดค้านแนวทางดังที่ว่า
+++รวมทั้งเสียงจาก สปช.บางคนที่ออกมาร่วมค้าน ด้วยเหตุผลว่าการใช้งบประมาณโดยตรงจากภาษีบาป ก็เพื่อให้ปลอดจากการครอบงำของนักการเมือง และขณะเดียวกันการใช้งบประมาณก็มีการตรวจสอบอย่างละเอียดจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และรายงานต่อให้คณะรัฐมนตรี และรัฐสภารับรู้อยู่แล้ว
+++ ไปทางด้านการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนยังไม่รู้ แต่วันนี้เริ่มกลายเป็นเรื่องแบ่งข้างชัดเจนอีกครั้ง แบบเดียวกับประเด็นการเมืองในอดีตที่เคยถูกหยิบมาเป็น “เครื่องมือ” กล่าวหาฝ่ายตรงกันข้าม จนนำไปสู่ความรุนแรงในบ้านเมือง เพราะการให้ข้อมูลของแต่ละฝ่าย เริ่มออกแนว“ปลุกระดม” มากกว่าจะเป็นการบอกกล่าว “ข้อเท็จจริง”
+++ ขืนรัฐบาลปล่อยให้กระแส “เห็นต่าง” ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ เกรงเหลือเกินว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะกลับไปสู่ความแตกแยกรุนแรงหนักหนายิ่งกว่าเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมี “มูลเหตุ” ให้เชื่อได้ว่าการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่ม เป็นการ“สอดรับ”การคงอำนาจของ คสช.และรัฐบาล ต่อให้มี “คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ” หรือมีกฎหมายลูกว่าด้วยการปฏิรูปและการปรองดอง ก็คงเอาไม่อยู่
+++ ท้ายสุด...ห้วงนี้ไม่ได้มีเพียง “การปรับครม.” ที่รอคอย แต่ยังมีการโยกย้ายนายทหารที่กำลังจะมาถึง และจะเห็นหน้าค่าตากันในเร็ววันนี้ กูรูหลายสำนักฟันธงกันอีกทีว่าอย่างไรเสีย ผบ.ทบ.คนใหม่ ก็ต้องชื่อ พล.อ.ธีระชัย นาควานิช !!!
..............................
อัชชาวดี [email protected]