เปลี่ยนม้ากลางศึกพลังงาน
มองด้วยสายตาของคนที่ติดตามการทำงาน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ของทีมกระทรวงพลังงาน
ในภาพรวมต้องบอกว่าหลายๆ เรื่อง ในเชิงโครงสร้างที่เคยถูกบิดเบือนไปในอดีตจากนักการเมือง ที่ชอบใช้นโยบายประชานิยมพลังงาน กำลังกลับมาเข้าที่เข้าทาง และกำลังเดินหน้าไปสู่การวางพื้นฐาน ที่จะทำให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน
ผ่านมา 1 ปีด้วยวิถีการ ทำงานของ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีพลังงาน จึงมีทั้งคนชอบ และไม่ชอบ บางกลุ่มถึงขั้นเกลียด อยากจะให้พ้นจากตำแหน่งไปเสียวันนี้ พรุ่งนี้ เลยก็มี เพราะในกระแสการคัดค้านอย่างหนักหน่วง ทั้งเรื่อง การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ,การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ,การจะปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตแอลพีจี ,การปรับโครงสร้างราคาเอ็นจีวี นั้น รัฐมนตรีพลังงานคนนี้ ยัง ถือหลักการเอาไว้แน่น กล้าที่จะแสดงจุดยืน
แม้เรื่องของการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่จะถูกเบรกจากนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงวันนี้ นายณรงค์ชัย ก็ยังยืนยันว่าจะเดินหน้าการเปิดให้เอกชนยื่นของสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ทันทีที่ กฏหมายผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และแสดงจุดยืนก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ภาคใต้ทั้งที่ กระบี่ และเทพา สงขลา สวนกระแสการคัดค้านของเครือข่ายเอ็นจีโอ
ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีไม่ว่าจะปรับใหญ่ ปรับเล็ก จึงมักจะมีชื่อรัฐมนตรีพลังงาน จะต้องถูกปรับออกอยู่ด้วยทุกครั้ง เป็นเป้าหมายที่ใครก็ใครหลายคนอยากจะเข้ามานั่งเก้าอี้เสนาบดี กระแสข่าวที่อยากจะให้เปลี่ยนม้ากลางศึกพลังงาน จึงค่อนข้างหนาหู ล่าสุด ก็เปลี่ยนจากชื่อของพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ มาเป็นพลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานกรรมาธิการพลังงานของสนช.
มองในภาพรวมของสถานการณ์พลังงานของประเทศในขณะนี้ คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีพลังงาน ยังจำเป็นต้องถือหลักการแน่น ถ้าเปลี่ยนคนใหม่ แล้วต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ หรือเป็นคนที่ไร้จุดยืน โอนอ่อนไปตามกระแสคัดค้านเสียจนไม่กล้าตัดสินใจอะไร และปล่อยให้เรื่องสำคัญ ต้องล่าช้าออกไปจนพ้นมือรัฐบาลชุดนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็จะยิ่งลดต่ำลง
รัฐมนตรีพลังงานนั้นใครๆ ก็เป็นได้ถ้าไม่ทำให้ดี และไม่คิดถึงส่วนรวมและผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะก็แค่มาเป็นเพื่อทิ้งภาระไว้
ให้คนอื่นต้องตามแก้ ดังนั้น ถ้านายกรัฐมนตรีคิดจะเปลี่ยนม้ากลางศึก จึงควรต้องคิดให้รอบคอบ