รัฐนาวาของโมดีจะฝ่ามรสุมปีนี้ไปได้ไหม?

รัฐนาวาของโมดีจะฝ่ามรสุมปีนี้ไปได้ไหม?

หลังจากที่ผมเคยเขียนลงในคอลัมน์นี้เมื่อเดือน เม.ย. 2558 ที่ผ่านมาว่า นายกรัฐมนตรีโมดีสอบผ่านในช่วง 1 ปีแรก ของการขึ้นมาเป็นรัฐบาลใหม่

ด้วยข้อริเริ่มใหม่ๆ ที่จะนำอินเดียกลับขึ้นมาอยู่บนจอเรดาร์ในเวทีโลกอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างเมืองอัจฉริยะ 100 เมือง การสร้างอินเดียให้เป็นฐานการผลิตสินค้า (Make in India) หรือการรณรงค์รักษาความสะอาดอินเดีย (Clean India) เป็นต้น

และในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ รัฐบาลโมดีก็ได้พยายามแก้ไขกฎหมายที่สำคัญๆ เช่น กฎหมายที่ดิน และกฎหมายภาษี เพื่อนำเอาระบบภาษีสินค้าและบริการ (Goods and Services Tax) ที่มีอัตราเดียวกันทั้งประเทศมาใช้ โดยร่างกฎหมายใหม่ทั้งสองฉบับ ผ่านความเห็นชอบจากโลกสภา ที่มีพรรครัฐบาล BJP คุมเสียงข้างมากอยู่ และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของราชสภา ซึ่งพรรคคองเกรสและฝ่ายค้านอื่นมีเสียงข้างมาก หากฝ่าด่านนี้ออกเป็นกฎหมายมาได้ ก็จะทำให้ความฝันเรื่องเมืองอัจฉริยะ และการทำให้อินเดียมีระบบภาษีที่จูงใจเป็นความจริงได้

แต่พอเข้าสู่หน้ามรสุมปีนี้ รัฐนาวาโมดีก็ต้องเผชิญกับพายุอันท้าทายหลายลูก เริ่มด้วยการที่สื่อมวลชนอินเดียขุดคุ้ยกรณีนาง Sushma Swaraj รมว.ต่างประเทศคนปัจจุบัน ให้ความช่วยเหลืออดีตผู้บริหารสมาคมคริกเก็ตของอินเดีย (นาย Lalit Modi ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นญาติกับนายกรัฐมนตรีโมดี และกำลังเป็นที่ต้องการตัวของทางการอินเดีย เพื่อมาสอบสวนในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษี) ให้ได้รับพาสสปอร์ตของประเทศอังกฤษ หลังจากหลบหนีคดีจากอินเดีย หลังจากสื่อโจมตีมากว่าหนึ่งเดือน และไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ขยับเป้ามาที่นาง Vasundhara Raje ลูกสาวของมหาราชาแห่งเมือง Gwalior ซึ่งมาเล่นการเมือง และกลายเป็นมุขมนตรีของรัฐราชสถานในปัจจุบัน ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ปกป้องนาย Lalit Modi เพราะมีผลประโยชน์ในการซื้อหุ้นของบริษัท ที่มีลูกชายนาง Raje เป็นเจ้าของ ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด อันเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

ถัดมาไม่กี่สัปดาห์ก็มีกรณีนาย Shivraj Singh Chauhan มุขมนตรีรัฐมัธยประเทศของพรรค BJP ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนรู้เห็นในขบวนการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ หรือสอบเข้าสถานศึกษาของรัฐมัธยประเทศ โดยมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง กลายเป็นคดีอื้อฉาว เมื่อมีการสอบสวนโดยตำรวจแล้วปรากฏว่า มีทั้งผู้ถูกกล่าวหาได้รับประโยชน์และโยงใยไปถึงตัวมุขมนตรี หรือผู้ที่เป็นเหยื่อจ่ายเงินเพื่อให้สอบเข้าได้ ต่างทยอยถูกฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตายกันอย่างน่าสงสัย ไม่น้อยกว่า 30 คน ฝ่ายค้านจึงเรียกร้องให้มีการโอนคดีมาที่ศาลสูงของอินเดีย เพราะเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชันในระดับสูงของรัฐ

เมื่อรัฐสภาอินเดียประกาศเปิดประชุมสมัยสามัญเมื่อวันที่ 21 ก.ค.2558 พรรคคองเกรสและฝ่ายค้าน ก็เอาเรื่องนี้ไปเป็นเงื่อนไขเรียกร้องให้ผู้นำพรรค BJP ทั้งสามคนที่ถูกกล่าวหา ต้องลาออกจากตำแหน่งก่อน จึงจะยอมร่วมมือพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ที่ยังคั่งค้างในสภา นายราหุล คานธี ถึงกับใส่ปลอกแขนไว้ทุกข์สีดำมาประท้วงวุ่นวายในสภา จนในที่สุดสภาล่มทั้งสองสภา ไม่สามารถทำงานได้ ต้องประกาศเลื่อนการประชุมไปอีก 1 สัปดาห์ และก็ยังไม่รู้ว่า จะประชุมกันได้หรือไม่ เมื่อเปิดสภาอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์นี้

ในขณะเดียวกัน การเมืองภายในกรุงนิวเดลีเองก็ชุลมุนไม่แพ้กัน รัฐบาลของดินแดนสหภาพเดลี ซึ่งเป็นเมืองหลวงภายใต้การนำของนาย Arvind Kejriwal ผู้นำพรรคสามัญชน (Common Man) และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพรรค BJP ก็ใช้โอกาสนี้โจมตีรัฐบาลกลางพรรค BJP ว่า พยายามแทรกแซงการทำงานของรัฐบาลของตน โดยไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ นาย Kejriwal เพิ่งชนะการเลือกตั้งได้เสียงเด็ดขาดในสภาของดินแดนสหภาพเดลีเมื่อเดือน ก.พ.2558 (ได้รับเลือก 67 คนจาก ส.ส. ทั้งหมด 70 คน) ในช่วงที่ผ่านมาก็ใช้นโยบายประชานิยมเอาใจชนชั้นรากหญ้า เช่น การใช้น้ำ-ไฟฟรีสำหรับคนจน เมื่อมีปัญหาอาชญกรรมเกิดขึ้นในรัฐ เช่น ล่าสุดกรณีเด็กหญิงสาวอายุ 17 ปี ถูกชายหนุ่มพยายามตื๊อมานาน และเมื่อฝ่ายหญิงแจ้งความกับตำรวจให้จัดการ ก็เกิดความโกรธแค้นพาญาติพี่น้องมารุมแทงจนเสียชีวิต

นาย Kejriwal ก็กล่าวโจมตีตำรวจกรุงนิวเดลีว่าไม่ใส่ใจทำงาน เพราะสายงานบังคับบัญชายังคงขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลาง จึงเรียกร้องให้โอนอำนาจบังคับบัญชาตำรวจมาขึ้นอยู่กับรัฐบาลของกรุงนิวเดลีเอง นอกจากนี้ ก็ยังอาศัยเสียงข้างมากในสภาของเดลีขึ้นเพดานอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากที่เก็บอยู่ในปัจจุบันร้อยละ 12.5 เป็นร้อยละ 30.0 ซึ่งเป็นการสวนกระแสกับทิศทางของรัฐบาลกลาง ที่พยายามจะนำเอาอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราเดียวกันทั่วประเทศมาใช้ ตั้งแต่ปีงบประมาณหน้า (เม.ย.2559)

ซึ่งผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นแผนของรัฐบาลกรุงนิวเดลี ที่จะประกาศขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในรัฐของตนเอง ให้สูงสุดไว้ก่อน และเมื่อรัฐบาลกลางประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเดียว (ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะเริ่มต้นที่ร้อยละ 27 แต่ก็มีหลายฝ่ายคิดว่ายังสูงเกินไป) ก็จะใช้วิธีการต่อรองขอให้รัฐบาลกลาง ชดเชยรายได้ภาษีที่ขาดหายไป เนื่องจากความแตกต่างของอัตราภาษีใหม่ ที่รัฐบาลกลางประกาศจัดเก็บต่ำกว่าอัตราภาษีเดิม ที่รัฐบาลของกรุงนิวเดลีเคยจัดเก็บ

สรุปแล้ว แม้นายโมดีจะชนะการเลือกตั้งได้รับเสียงท่วมท้นจากคนทั้งประเทศ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถขับเคลื่อนอินเดียไปได้อย่างง่ายดาย ในเรื่องกฎหมายที่ดิน ก็พอมีข่าวเลาๆ แล้วว่า ทางออกของนายโมดีเห็นจะไม่พ้นการยอมปรับแก้เนื้อหากฎหมายให้อ่อนลง ตามที่ฝ่ายค้านเรียกร้อง และให้อำนาจแต่ละรัฐที่จะดำเนินการออกกฎหมายลูกของรัฐมาบังคับใช้เองต่อไป ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็อาจจะเห็นว่ารัฐไหนที่มีพรรค BJP เป็นพรรครัฐบาล ก็จะรีบเร่งดำเนินโครงการตามทิศทางของรัฐบาลกลาง ส่วนรัฐไหนที่มีพรรคอื่นคุมอยู่ ก็จะพยายามดำเนินการเป็นอิสระหรือถ่วงรัฐบาลกลาง เพื่อต่อรองผลประโยชน์ในเรื่องอื่น โดยไม่สนใจว่าจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของอินเดีย เสียเวลาและโอกาสในการพัฒนาไปมากน้อยเพียงไร

รัฐนาวาของโมดีน่าจะยังคงฝ่ามรสุมปีนี้ไปได้ แต่ด้วยกระแสลมต้านที่มาจากหลายทิศทาง ก็อาจจะทำให้เรือเฉไฉไปจากทิศทางที่ตั้งใจไว้ เมื่อครั้งชนะการเลือกตั้งไปบ้าง หากใบเรือไม่ขาดไปเสียก่อน เนื่องจากลมพายุในปีนี้ เราก็คงจะได้เห็นผลสำเร็จของนายกฯโมดี แต่ก็คงจะต้องใช้เวลาปั้นมากกว่าช่วงเทอมแรกที่ได้รับเลือกมา 5 ปี