ฉวยจังหวะ 'วิกฤติกรีซ' ตุนหุ้น

ฉวยจังหวะ 'วิกฤติกรีซ' ตุนหุ้น

ตอนนี้ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ คงรู้สึกตื่นตระหนกกับผลกระทบ จากวิกฤตหนี้กรีซที่กำลังจะลุกลาม

 และหลายคนคงต้องเร่งหาข้อมูล เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน หรือเพื่อการปรับพอร์ตลงทุนของตัวเอง ซึ่งข้อมูลจากฝ่ายวิจัยของสำนักต่างๆออกมามีความน่าสนใจไม่น้อยล่าสุด บล.โนมูระพัฒนสิน ให้ความเห็นว่า  หากกลับมาพิจารณาผลกระทบจากวิกฤติหนี้กรีซที่มีต่อไทย จะพบว่า ในแง่ของการค้าระหว่างไทย-กรีซ คิดเป็นเพียง 0.1%ของจีดีพีเท่านั้น ส่วนการถือครองสินทรัพย์ของ ธนาคารยุโรป ในไทย ปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 1.8 หมื่นล้านยูโร คิดเป็น 4.3% ของจีดีพี ซึ่งเกือบน้อยที่สุดในเอเซีย

ดังนั้น กรณีความเสี่ยงหากเกิดการ Unwind Position ของสินทรัพย์ธนาคารในยุโรป คาดผลกระทบต่อไทยค่อนข้างจำกัด รวมถึงบทสรุปที่ไม่ว่าจะออกมาในทางใดก็น่าจะเป็นบทสรุปของการแก้ปัญหาที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะหนุนค่าเงินยูโรมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น บวกต่อสินทรพย์เสี่ยงในช่วงถัดไป ดังนั้นปัญหาวิกฤตหนี้กรีซรอบนี้ ไม่น่ารุนแรงเหมือนวิกฤตหนี้ยุโรปปี 2554 ที่กดดันตลาดเอเซียปรับฐานไปราว 13.2% และดัชนีหุ้นไทยปรับฐานไปถึง 14% พร้อมทั้งกดดันเงินไหลออกจากเอเซียราว 1หมื่นล้านดอลลาร์ จากสถิติดังกล่าวฝ่ายวิจัยความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับลดลงมีจำกัด และมีแนวรับประมาณ 1495และ1480จุด

ขณะเดียวกัน“เกศรา มัญชุศรี” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยืนยันว่า สถานการณ์ของประเทศกรีซจะไม่กระทบกับตลาดหุ้นไทย เนื่องจากประเทศไทยกับประเทศกรีซไม่มีธุรกรรมใดๆ ร่วมกันที่มีนัยสำคัญ ประกอบกับข่าวที่กรีซจะถูกเพิกถอนจากสหภาพยุโรปนักลงทุนรับทราบมาพอสมควร จึงจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก

บล.บัวหลวง แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในเดือน ก.ค.ว่า ดัชนีหุ้นไทยน่าจะมีแนวรับสำคัญที่ระดับ1,480 จุด ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ให้ซื้อคืนหุ้นบูลชิพ พลังงาน โรงกลั่น ปิโตร,แบงก์ บ้าน มาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย.เป็นต้นมา ปรากฏว่า มีเพียง แบงก์ และกลุ่มปิโตรเคมีและถ่านหิน ที่ไม่ค่อยขึ้นถือว่าผิดคาด แต่ที่เหลือปรับขึ้นตามคาด

กลยุทธ์ระยะเดือนนี้จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นช้า คาดหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค( Domestic play)เช่นแบงก์ บ้าน ค้าปลีก ยังคงให้ผลตอบแทนแย่กว่ากลุ่ม Global cyclical, กลุ่มปันผลสูง และหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว อย่างไรก็ดี แล้วถือเงินสดไว้ รอหลังวันที่ 5 ก.ค. เมื่อชัดเจนค่อยเริ่มเข้าเก็งกำไร

บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า จากสถานการณ์การแก้ปัญหาวิกฤติหนี้สินของกรีซ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1520 จุดจากนี้ไป สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น ยังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการที่จะถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ภายใต้สถานการณ์ที่ Credit Cost มีแนวโน้มสูงขึ้น และ NIM ปรับลดลง นอกจากนี้ยังอาจได้รับผลกระทบในเชิงบรรยากาศการลงทุนจากปัญหาหนี้สินกรีซ

สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง หุ้นรับผลดีจากอ่อนค่าของเงินบาท และ หุ้นกลุ่มปันผลดี เนื่องจากที่ระดับดัชนี ปัจจุบันมีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด ควรที่จะพุ่งเป้าไปที่การสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจน และมีความเสี่ยงไม่มาก

หากพิจารณาข้อมูลจะเห็นว่า การลงทุนตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และหากดัชนีปรับตัวลงเลือกหุ้นบางตัว เพื่อใช้เป็นจังหวะทำกำไรได้เช่นกัน