“ตลาดหุ้นนอกบ้าน” แหล่งกำไรแห่งใหม่

“ตลาดหุ้นนอกบ้าน”  แหล่งกำไรแห่งใหม่

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา “ตลาดหุ้นไทย” สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย “ติดลบ 4%” หลังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า

 ขณะที่การบริโภคและการส่งออกหดตัว ส่งผลให้เหล่านักลงทุนไทยเริ่มหันออกไปแสวงหา “กำไรนอกบ้าน” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นต่างประเทศ

จากข้อมูลพบว่า ในส่วนของตลาดอสังหาริมทัรพย์ นักลงทุนนิยมออกไปลงทุนใน 10 เมืองทั่วโลก คือ นิวยอร์ก,ลอนดอน,เซาเปาโล,สิงคโปร์,ฮ่องกง,มุมไบ,ปักกิ่ง,เซียงไฮ้,หางโจว และจาการ์ต้า เนื่องจากสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงถึง 5-20% ต่อปี

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ปัจจุบันนักลงทุนในประเทศหลายราย กำลังแสดงความสนใจใน ตลาดหุ้นเยอรมัน ตลาดหุ้นญี่ปุ่น รวมถึงตลาดหุ้นจีน หลังพบว่าผลตอบแทนการลงทุนด้วย “ตัวเลขสองหลัก

สอดคล้องกับบทวิจัยของ “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้” ที่ระบุว่า 

ในช่วงวันที่ 31 ต.ค.57-30 เม.ย.58 ตลาดหุ้นเยอรมัน DAX INDEX ตลาดหุ้นญี่ปุ่น NKY INDEXและตลาดหุ้นจีน HSCEI ได้สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 23%,20% และ 34% ตามลำดับ

ในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ ทั้งสามตลาดหุ้นยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง หลังราคาหุ้นหลายตัวยังมีอัพไซด์จำนวนมาก บทวิเคราะห์ ระบุ 

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อ “ตลาดหุ้นเยอรมัน” คือ ปัจจุบันเศรษฐกิจยุโรปกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว สะท้อนผ่านการขยายตัวของสินเชื่อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จึงเชื่อว่า ตลาดหุ้นเยอรมันนีจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดในกลุ่มตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจเริ่มแข็งแกร่ง โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง หนี้สาธารณะและอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่อนค่าของค่าเงินยูโร และ Valuation ที่ถูกกว่าตลาดหุ้นยุโรปโดยเฉลี่ย ซึ่งค่า forward P/E ของดัชนี DAX ของเยอรมันนีอยู่ที่ 14.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี STOXX600 ของยุโรปที่ 16.6 เท่า 

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลดีต่อ “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น คือ ในปี 2558 บริษัทจดทะเบียนอาจมีกำไรสุทธิเติบโตประมาณ 14% ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในกลุ่มประเทศพัฒนา ขณะเดียวกันนโยบายเพิ่มผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) จะทำให้บริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นมีการนำเงินสดที่เหลืออยู่ในงบดุลเป็นจำนวนมากไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นในอนาคต 

สำหรับจุดเด่นของ “ตลาดหุ้นจีน” คือ แม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นจีนจะปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดหุ้นจีนยังเป็นหนึ่งในตลาดที่ Valuation ถูกที่สุดในโลก โดยซื้อขายที่ forward P/E เพียงประมาณ 10 เท่า แต่แนวโน้มการผ่อนคลายของนโยบายการเงิน และความคืบหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนตลาดหุ้นต่อไป 

อย่างไรก็ดี เชื่อว่า จีนยังมีเครื่องมือทางนโยบายที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่วนนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น การเปิดเสรีทางการเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินทุนผ่านกลไกตลาด และกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนผ่านมาตรการ เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และการลดเงินดาวน์ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคการลงทุน จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้เศรษฐกิจจีนในระยะยาว

ทว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วง 6 เดือนหลัง เป็นเพียงการคาดการณ์จากสถานการณ์รอบตัวเท่านั้น 

ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องเลือกรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของตัวเอง