งานที่เปลี่ยนกับ Work-Life Integration

งานที่เปลี่ยนกับ Work-Life Integration

ท่านผู้อ่านสังเกตไหมครับว่าในปัจจุบันพฤติกรรมและรูปแบบในการทำงานของเราแตกต่างจากในอดีต

แถมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็เกิดขึ้นและเป็นไปอย่างที่เราไม่รู้ตัว สัปดาห์นี้ผมลองประมวลและรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่งและมาลองพิจารณากันนะครับว่ากฎเกณฑ์และพฤติกรรมในการทำงานของเราเปลี่ยนไปจริงหรือไม่


ประการแรกเป็นเรื่องของสถานที่ทำงานครับ ในอดีตเวลานึกถึงงาน เราก็จะนึกถึงสำนักงานหรือออฟฟิศ ซึ่งมีคนนั่งทำงานกันอยู่ แต่ปัจจุบันเราจะพบว่าการทำงานนั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในสถานที่ทำงานหรือสำนักงานเท่านั้น แต่งานนั้นสามารถทำและเกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ร้านกาแฟ ที่โรงแรมตากอากาศริมทะเล หรือแม้กระทั่งบนรถไฟฟ้า ฯลฯ งานจะสำเร็จและเกิดขึ้นมาได้นั้น ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยนิยามของสถานที่อีกต่อไป


ประการที่สองนั้น นอกเหนือจากงานยุคใหม่ที่ถูกทลายข้อจำกัดเรื่องสถานที่แล้ว ข้อจำกัดเรื่องเวลาก็หายไปครับ เราสามารถทำงานเมื่อเราต้องการได้มากขึ้น ตราบใดที่งานสำเร็จและเสร็จลง อีกทั้งจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ทำให้เราไม่สามารถมีข้ออ้างในเรื่องของข้อจำกัดเรื่องเวลาอีกต่อไป


ท่านผู้อ่านเช็คอีเมลหรือเช็คข้อความที่เกี่ยวข้องกับงานในช่วงวันหยุด ตอนค่ำๆ ระหว่างวันพักร้อน ลาป่วย กันบ้างไหมครับ? มีงานวิจัยจากอเมริกา (American Psychological Association) ที่พบว่ามากกว่าครึ่งของคนทำงานที่เช็คข้อความหรืออีเมลที่เกี่ยวข้องกับงานอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตอนเย็นๆ ค่ำๆ หลังเลิกงาน หรือแม้กระทั่งช่วงหยุดพักร้อน


สาเหตุของการที่เราต้องทำงานในช่วงเวลาที่ควรจะหยุดนั้นก็อาจจะมีจากหลายสาเหตุด้วยกันครับ ทั้งจากพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ทำให้เราถูกติดต่อได้ตลอดเวลา หรือ จากลักษณะของงานที่เราต้องการหาเวลาสงบในช่วงวันหยุดหรือพักผ่อนมาทำงานบางอย่างที่ทำไม่ได้ในที่ทำงาน และที่น่ากลัวกว่านั้นครับคือการที่งานไร้ข้อจำกัดเรื่องเวลานั้น ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมการนอนของเราครับ


ปัจจุบันในอเมริกานั้นผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปจะนอนวันละ 6.5 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย ซึ่งน้อยกว่าในอดีตที่อยู่ที่คืนละ 8 ชั่วโมง และ 10 ชั่วโมงเมื่ออดีตขึ้นไปอีก และที่น่ากลัวก็คือมีคนจำนวนมากที่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อลุกขึ้นมาทำงาน เช็คข้อความที่เกี่ยวกับงาน หรือ แม้กระทั่งเพื่อมาโพสต์เฟซบุ๊ค แล้วหลังจากนั้นค่อยนอนต่อ


ประการที่สามคือเราจะพบคนจำนวนมากที่เริ่มหันมาประกอบวิชาชีพอิสระมากขึ้นหรืออาจจะเรียกว่าเป็นพวก Freelancer คนพวกนี้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ แต่เลือกที่จะไม่ทำงานประจำ สังกัดภายใต้บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่ชอบที่จะเลือกทำงานอิสระที่ไม่มีข้อผูกมัดของกรอบในการทำงานรูปแบบเดิม ผมเองจะเห็นคนรอบๆ ตัว เป็น วิทยากรอิสระ อาจารย์อิสระ ที่ปรึกษาอิสระ นักเขียน หรือ บอร์ดอิสระ ฯลฯ กันมากขึ้น คนเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นที่ต้องการขององค์กรต่างๆ แต่ก็เลือกที่จะทำงานที่อิสระ และเลือกทำในสิ่งที่ตนเองต้องการได้


จากสาเหตุทั้งสามประการข้างต้น ก็นำไปสู่ข้อสงสัยนะครับว่าจริงๆ แล้วในปัจจุบันเส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวนั้นยังมีอยู่จริงหรือไม่? Work-Life Balance ที่คนมุ่งแสวงหากันอยู่นั้น มีอยู่จริงในโลกปัจจุบันหรือไม่? ในเมื่อปัจจุบันเราสามารถเลือกที่จะทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ และ อย่างไรก็ได้ เรายังสามารถที่จะแบ่งหรือขีดเส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวได้อีกหรือ?


เวลาตอนค่ำ เสาร์ อาทิตย์ หรือ วันหยุดพักร้อน ที่ควรจะเป็นเวลาส่วนตัว แต่คนจำนวนมาก (รวมทั้งผมด้วย) ก็จะต้องอดไม่ได้ที่จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ไปเกี่ยวข้องกับงาน ไม่ว่าจะไปทำงาน อ่านและตอบอีเมลเกี่ยวกับงาน เอางานกลับมาทำที่บ้าน ฯลฯ


ดังนั้น แทนที่แสวงหา Work-Life Balance แบบที่เราต้องการนั้น ถ้าจะเปลี่ยนใหม่เป็น Work-Life Integration จะเหมาะสมกว่าหรือเปล่าครับ? นั่นคือไม่มีเส้นแบ่งแยกระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว แต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้งานและชีวิตส่วนตัว สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ


สุดท้ายขอฝากหลักสูตร Modern Manager Program หรือ MMP รุ่นที่ 63 ของคณะหน่อยครับ เป็นหลักสูตรที่เรามุ่งเน้นพัฒนาผู้บริหารที่เปิดมายาวนานกว่า 60 รุ่นแล้ว ช่วงนี้กำลังอยู่ระหว่างการเปิดรับสมัครครับ สนใจรายละเอียดติดต่อได้ที่ 02-218-5701 ครับ