อัตตา ความโลภ และจุดจบ

อัตตา ความโลภ และจุดจบ

ขออุ่นเครื่อง นำประสบการณ์หน้างาน ภาคสนาม มาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง ในเบื้องต้นกันไปพลาง

ขณะที่ต้องรอการประมวลผลคะแนน ของโครงการการประเมินการจัดประชุมผู้ถือหุ้น ของทุกบริษัทจดทะเบียน ที่มีรอบบัญชี สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2557 ด้วยจำนวน 612 แห่ง (ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)


ในห้วงเวลา ของฤดูกาล AGM 2558 ข้อมูลภาคสนามบางส่วน ที่น่าทำมาเล่าสู่กันฟัง บนเรื่องจริง ที่หลายคนส่ายหน้า ระอาใจ หลายคนต้องอดทน อดกลั้น ทนทุกข์ใจแทบระเบิด และขอให้มันผ่านไปโดยไว


อะไรล่ะ อะไรหนอ เป็นวังวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย ของฤดูกาลนี้ เมื่อกลุ่มคน สองกลุ่ม มีนัดมาพบเจอกัน คือ ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้น เวทีนี้ จึงมีเรื่องเล่า


การณ์เมื่อกระแสของผู้ลงทุนรายบุคคล เพิ่มปริมาณขึ้น ทั้งจากเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่จะเพิ่มจำนวน อีก 95,000 คน ในปี 2558 การเข้าถึงข้อมูล ความง่ายในการลงทุน ความหอมหวาน ของกลิ่น “ความรวย” ที่กระตุ้น “ความโลภ” ผู้ลงทุนเยอะ ก็ย่อมเยอะเรื่อง ตามหลักแนวคิดเชิงมานุษยวิทยา เกิดกระแส “ฝูงชน” ตามกระแสได้ไม่ยาก


ความอิสระที่ได้รับการปลดปล่อย ช่องของโอกาสทอง ในการแสดงตัวตน สนองความเก็บกด ที่อาจไม่เคยได้รับการตอบสนองในการแสดงออกบนเวทีที่ว่าเป็นสิทธิที่กระทำได้ โดยอาจลืมภาพโดยรวมของตลาดหุ้นไทย ที่จะแซมด้วยภาพของกลุ่มก้อน ที่มีภาพซ้อนของผู้ทรงอิทธิพล


อัตตา ส่วนบุคคล ของคนบางคนและบางกลุ่ม ที่ผู้ถือหุ้นบางคนหรือผู้รับมอบฉันทะบางคน ใช้เวทีการประชุมสามัญประจำปี เป็นเวทีแสวงหา ความเด่นดัง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง เกินความจำเป็น เป็นที่อ่อนใจของผู้บริหาร เช่น ใช้เวลาในการประชุมมาก ด้วยการลุกขึ้นพูดแสวงโวหารในรายละเอียดยิบย่อย บ้างสอนการทำธุรกิจ บ้างแสดงภูมิ บ้างเยินยอจนเกินงาม บ้างด่าทอให้เสียหาย บ้างทวงของชำร่วย บ้างเสียดสีบุคคลที่สามพาดพิงให้เสียงหาย เป็นที่น่าเห็นใจของผู้บริหารที่ตั้งใจทำงานยิ่งนัก


ความโลภ พบว่า หนึ่งในมติที่ต้องกำหนดไว้ในวาระการประชุมสามัญประจำปี เพื่อให้ผู้ถือหุ้น อนุมัติ คือ ค่าตอบแทนกรรมการของแต่ละบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมักจะถูกกำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทน จากข้อมูลเทียบเคียงในธุรกิจประเภทเดียวกัน,ภาระงาน,ภาระความรับผิดชอบของกิจการ ว่ากันว่าการเป็นกรรมการนั้น มีความเสี่ยงไม่น้อยกับความรับผิดชอบของทุกธุระกรรม


เมื่อมองเห็นตัวเลข ค่าตอบแทน ผู้ถือหุ้นบางคน บางกลุ่ม อาจประสงค์ ต้องการเข้ามานั่งเก้าอี้นี้บ้าง และอาจคิดเลยไปถึงการมีหน้าตาในสังคม จึงมีความพยายามเสนอตัวเอง ด้วยวิธีการใช้เวทีการประชุมนี้ สร้างมูลค่าต่อรองให้ตัวเอง


ความโลภในส่วนของผู้บริหารบางกลุ่ม พบว่า มีช่องว่าง ในการใช้ความเป็น “มหาชน” ด้วยเสียงข้างมากลงมติชนะโหวตในเรื่องที่ต้องการผลประโยชน์ เช่น การเพิ่มทุนขายให้กับคนเฉพาะกลุ่ม ที่เรียกกันว่า เพิ่มทุน แบบ PP-Private Placement หรือการลงมติในรายการระหว่างกัน ยักย้ายประโยชน์ หรือการใช้ข้อมูลภายในให้เกิดประโยชน์ส่วนตน จน กลต. ลงโทษปรับ ก็มีให้เห็นกันอยู่ เป็นระยะๆ


จุดจบ ของทั้งอัตตาและความโลภ เป็นสัจจะธรรม ที่เวียนว่ายอยู่กับมนุษย์ทุกคน ทุกข์สุขบาปบุญอยู่ที่ใจ เพราะรู้อยู่แก่ใจตัวเอง ใครไม่รู้แต่ตัวเองรู้ดี ที่เรียกกันว่า ความมี “ธรรมาภิบาล” เป็นความจริงที่ไม่ต้องมีข้อบัญญัติทางกฎหมาย เพราะมีระดับความที่เหนือกว่า เป็นจรรยาบรรณ ที่หลายคนพยายามตีความตามช่องว่า ไม่ผิด กฎหมาย


เพ-ลา นี้ ไม่มีบทบาทของนักการเมืองอาชีพ เข้ามาบริหารประเทศ ให้เราต้องตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการบริหารงาน แต่พบว่า ขุมทรัพย์ในตลาดหุ้นไทย มีนักลงทุนมืออาชีพ เข้ามามากหน้าหลายตา จนเกิดเป็นกลุ่มก้อนของผลประโยชน์ที่มีเรื่องราวซับซ้อนมากขึ้นเป็นลำดับ มีข่าวให้เราได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง สาวลงไปก็ยิ่งลึกลับ รวยแบบฟ้าผ่า รวยแบบไม่มีเหตุผล รวยแบบไม่ต้องทำงานหนักเหมือนยุคเสื่อผืนหมอนใบ รวยง่าย รวยเร็ว รวยแล้วมีคนไหว้ อัตตาและความโลภ จึงทำให้นักลงทุนบางคน ไม่ต่างจากนักการเมืองบางคนที่มีเรื่องฉาวๆ เช่นกัน


ความรวยของบางคนในตลาดหุ้น ย่อมเกิดจากการย้ายเงิน จากกระเป๋าของบางคน ไปยังคนอีกคน เพราะแหล่งเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย เป็นการรวมภาพใหญ่ระดับประเทศ ระดับสากล ดังนั้น ในตะกร้าเดียวกัน ย่อมมีคนได้-คนเสีย


จุดจบ… คงไม่ต่างจาก การทิ้งชายเรื่องของภาพยนตร์ ที่เราดูด้วยความเพลิดเพลิน หนังรัก หนังเศร้า หนังผจญภัย หนังผี ซึ่งมักจะค้างคาไว้ให้ผู้ชม สร้างจินตนาการต่อด้วยตัวเอง หากเป็นหนังทำเงิน ก็จะมีภาคสอง ภาคสาม ตลาดหุ้นก็เฉกเช่นกัน โดยมีความโลภเป็นหัวเชื้อ


ความโลภ ความเสี่ยง การลงทุนจึงเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก มีทุกบท ในทุกทฤษฎี แต่ภาคปฏิบัติ การลงมือ เป็นอีกภาคที่น่าสนใจกว่า
การประชุมสามัญประจำปีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นับเป็นห้วงจังหวะเวลาที่ดีของผู้ลงทุน ที่จะได้พบปะกับผู้บริหาร ได้พูดคุยกันว่า ในรอบปีที่ผ่านมานั้น ผลการดำเนินการเป็นอย่างไร นี่เป็นกติกาสากลที่ยอมรับกัน นักลงทุนที่เป็นสุภาพชน มองประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่มีบทจุกจิก ร้องขอกับเรื่องฝอยๆ เป็นประโยชน์ส่วนตนล้วน คล้ายกับการเป็นพลเมืองดีของประเทศ ที่ต้องเคารพระเบียบของสังคม จะทำให้การประชุม เป็นนัดสำคัญ ที่ทั้งสองฝ่าย ตั้งตารอคอยที่จะเจอกันอีกในปีถัดไป ยกเว้น หากจะมีเรื่องเร่งด่วน ก็สามารถนัดกันได้อีก ในการประชุมวิสามัญ


วันนี้ ขอเป็นการอุ่นเครื่อง เรื่องการประชุมสามัญประจำปีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังมีเกร็ด เรื่องราวอีกมากมาย ในภาคสนาม ดิฉันขอนำมาเล่าในครั้งต่อไปนะคะ