จากสีหน้าบึ้งตึงสู่รอยยิ้มเล็กๆ

จากสีหน้าบึ้งตึงสู่รอยยิ้มเล็กๆ

ผมมานั่งเขียนคอลัมน์วันนี้ที่โตเกียว เมื่อวานได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “นายกรัฐมนตรีเงา” Yoshihide Suga

ตำแหน่งทางการคือ Chief Cabinet Secretary หรือ “เลขาธิการใหญ่ของคณะรัฐมนตรี” แต่ความจริงคือ มือขวา ตัวจริงของนายกฯ ชินโซะ อาเบะ

แวดวงการเมืองและนักวิเคราะห์การเมืองที่นี่จับตาดูการพบปะระหว่างอาเบะ กับประธานาธิบดีจีนสีจิ้นผิง ที่จาการ์ตา เมื่อวันพฤหัสฯ อย่างใจจดใจจ่อ

จับตาทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม หรือสีหน้าเคร่งเครียด รวมไปถึงความหนักแน่นของการจับมือ

ส่วนถ้อยคำที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างสองผู้นำเอเชียคนสำคัญ ไม่ได้เป็นประเด็นสำหรับนักวิเคราะห์มากนัก เพราะไม่มีใครคาดหวังว่าทั้งสองคนจะเปล่งถ้อยคำอะไรที่จะสร้างความฮือฮาได้ เพราะต่างก็สงวนท่าทีกันเต็มที่

ที่ผมจับได้คือรอยยิ้มของทั้งสองคน ต่างกับความบึ้งตึงของสีหน้าทั้งสองฝ่าย ในการพบปะกันเมื่อเดือนพฤศจิกายนเมื่อปีก่อน

ครั้งนี้การพบปะ 25 นาที มีบรรยากาศถ้อยทีถ้อยประคองความรู้สึกของกันและกัน โดยที่ผู้นำจีนบอกว่า ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายในระยะหลังกระเตื้องขึ้นในระดับหนึ่ง เพราะเจ้าหน้าที่ระดับทำงานพบปะแลกเปลี่ยนกันเป็นระยะ ๆ

รอยยิ้มเล็ก ๆ ของทั้งสองฝ่ายอาจจะมาจากสภาพเศรษฐกิจของทั้งจีนและญี่ปุ่นที่แผ่วลง ต่างก็ตระหนักว่าต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน

แต่ต้องไม่ลืมว่าปีนี้ครบรอบ 70 ปีของการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นถูกจับตาว่าจะออกมาแสดงท่าที ขอโทษ เพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีใต้ให้ชัดเจนอีกครั้งหรือไม่

นายกฯอาเบะ พูดในการประชุมสุดยอด “เอเชีย-แอฟริกา” ที่อินโดนีเซียว่าเขามีความ เสียใจอย่างลุ่มลึก (deep remorse) และยอมกล่าวคำว่า “aggression” (รุกราน) ที่ญี่ปุ่นกระทำต่อเพื่อนบ้านในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ยังไม่เอ่ยคำว่า “apology” คือไม่ยอมกล่าวคำว่า ขอโทษ อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง

โดยอ้างว่าเขายังยึดมั่นตามคำแถลงการณ์ของอดีตนายกฯสองคนในประเด็นนี้ นั่นคือ

เมื่อปี 1995 นายกฯโทมิอิชิ มูรายามา เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

และเมื่อปี 2005 นายกฯจูนิชิโร โคอิซูมิ ก็ออกแถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีของการยุติของสงคราม

  ทั้งสองแสดงความเสียใจและขอโทษ เพราะญี่ปุ่นได้ทำการ รุกรานและ ใช้ระบบจักรวรรดินิยมต่อเพื่อนบ้าน

อาเบะไม่ยอมย้ำคำพูดทั้งหมด ทำให้จีนกับเกาหลีใต้เดือดดาลมาอีกรอบหนึ่ง

ความหนักใจของอาเบะยังไม่จบแค่นี้ วันที่ 29 เมษายนนี้ เขาจะปราศรัยต่อหน้าการประชุมร่วมของรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ เพราะเป็นครั้งแรกที่นายกฯญี่ปุ่นกล่าวต่อหน้าทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา

อาเบะจะพูดเรื่องสงครามโลกครั้งที่สองอย่างไรจึงเป็นประเด็นร้อนที่ผู้คนจับตาอีกรอบ

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ คำแถลงการณ์ทางการในเดือนสิงหาคมนี้ของนายกฯญี่ปุ่น ว่าด้วย 70 ปีหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง

ผมมาโตเกียวครั้งนี้ได้เจอเพื่อนนักหนังสือพิมพ์จากเอเชียเกือบทุกประเทศ รวมทั้งจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งล้วนเป็นนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศที่ช่ำชอง

พวกเขาบอกผมว่าทั้งสามชาติยังมีเรื่องระหองระแหงที่ต้องเคลียร์กันอีกมากมาย แต่ไม่ว่าผู้นำแต่ละคนจะพยายามรักษาฐานเสียงในประเทศของตัวเองด้วยท่าทีชาตินิยมอย่างไร เอาเข้าจริง ๆ ก็ต้องยอมฝ่าข้ามอดีตเพื่อสร้างความโยงใยสำหรับปัจจุบันและร่วมมือกันสร้างสันติ และความผาสุกสำหรับอนาคตให้ประชาชนทั้งเอเชีย

รอยยิ้มของ สีจิ้นผิง กับชินโซะ อาเบะ ล่าสุดอย่างน้อยก็ให้ความหวังเล็ก ๆ สำหรับผมที่ติดตามความเคลื่อนไหวของท่านทั้งสองอย่างใกล้ชิดทุกฝีเก้า