สังคมจะยั่งยืนต้องให้ Stakeholders อยู่เหนือ Shareholders
แนวคิดการทำธุรกิจยุคใหม่ต้องคิดมากกว่าแค่ “กำไร” สำหรับ “ผู้ถือหุ้น” (shareholders)
แต่ต้องให้ “ผู้มีส่วนได้เสีย” (stakeholders) ทุกส่วนได้ประโยชน์โดยถ้วนหน้าด้วย
หาไม่แล้วความยั่งยืนจะไม่เกิด และ “กำไร” ของผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวจะกลายเป็นการ “ขาดทุน” ของคนส่วนอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแสวงหากำไรอย่างไร้ความสำนึกต่อสังคมในส่วนรวม
คำว่าในธุรกิจปกติ “ผู้มีส่วนได้เสีย” ย่อมหมายรวมถึงพนักงาน, ลูกค้า, ผู้บริโภค, suppliers, และคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การธุรกิจ
ยิ่งเป็นสื่อสารมวลชนด้วยแล้ว “ผู้มีส่วนได้เสีย” ยังต้องหมายรวมถึงสาธารณชน, คนอ่าน, คนดู, คนฟัง, และผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารและสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย
ใครที่ทำธุรกิจสื่อและหวังแต่เพียงทำกำไรให้ “เจ้าของ” หรือ “ผู้ถือหุ้น” อย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงการสร้างความน่าเชื่อถือและสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมอาจจะเรียกว่าเป็นผู้ประกอบการที่ไร้ความตระหนักถึงบทบาทของธุรกิจวันนี้
ธุรกิจที่ยั่งยืนในยุคสมัยนี้ไม่ใช่เครื่องจักร ไม่ใช่ตึก และไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ หากแต่อยู่ที่สินทรัพย์ทางปัญญาที่อาจมองไม่เห็น แต่มีค่ามหาศาลหากนำมาใช้ให้ถูกที่ถูกทางและได้ประโยชน์ต่อ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” อย่างแท้จริง
ทรัพย์สินที่ว่านี้คือแบรนด์ ลิขสิทธิ์ และนวัตกรรม กับคุณภาพของบุคลากรที่เป็นมืออาชีพและที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือ
จริยธรรมกับธรรมาภิบาลในการทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นระดับบริหาร ปฏิบัติการ และพนักงานในทุกแผนก
ดังนั้น “คุณค่า” ของบริษัทจึงไม่ได้อยู่ที่ราคาหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่ “ความยั่งยืน” ในรูปแบบของการทำให้สังคมดีขึ้นจากกิจกรรมของธุรกิจนั้น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม
ศัพท์ใหม่ในแวดวงความยั่งยืนแห่งธุรกิจ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมที่ผมคิดว่าสะท้อนถึงแนวคิดใหม่นี้ได้อย่างดีเยี่ยมคือ
The mindful corporation
อันหมายถึงธุรกิจที่มีความ “ตระหนักรู้” ถึงบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบต่อ “ผู้มีส่วนได้เสีย” ทุกภาคส่วน มิใช่เพียงแค่ทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวเท่านั้น
ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งเห็นว่าหากคนรุ่นใหม่จะทำธุรกิจให้เติมเต็มความฝันของการเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็จะต้องทำงานแบบ mindful entrepreneur ซึ่งก็คือ “ผู้ประกอบการที่ตระหนักผลตอบแทนต่อสังคม มิใช่เพื่อกำไรของตนและพวกอย่างเดียว”
เพียงแค่ทำ CSR หรือ Corporate Social Responsibility ด้วยการแจกเงินแจกเสื้อเพื่อทำข่าวถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์และออกทีวีเท่านั้น ย่อมมิใช่การ “ตระหนักรู้” ว่าธุรกิจของตนทำคุณประโยชน์ต่อสังคมเพื่อความยั่งยืนอย่างไร
บางธุรกิจไร้ธรรมาภิบาล หนีภาษี ให้สินบน ปฏิบัติต่อพนักงานอย่างไม่เป็นธรรม แต่ทำกิจกรรม CSR สร้างภาพลักษณ์เพื่อการประชาสัมพันธ์ เช่นนี้ย่อมไม่ใช่วิถีแห่งการสร้างความถูกต้องชอบธรรมเพื่อความยั่งยืน
การมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรสูงสุดเพื่อคนกลุ่มเดียวนำไปสู่ “ทุนสามานย์” อย่างที่เห็นกันอย่างกว้างขวางในสังคมธุรกิจไทยวันนี้
สังคมเช่นนี้เปราะบางและอ่อนแอ สร้างความขัดแย้งรุนแรงเพราะมีเป้าหมายเพียงเพื่อสร้างประโยชน์ให้คนกลุ่มเดียว
สังคมไทยจะยั่งยืนและก้าวหน้าไปพร้อมกันได้ ก็ด้วยการให้ “ผู้มีส่วนได้เสีย” มีสิทธิมีเสียงและแบ่งปันประโยชน์อย่างยุติธรรมเท่านั้น