“วัฏฏะ” ในดวงเมืองไทย

“วัฏฏะ” ในดวงเมืองไทย

เมื่อโรมันล่มสลาย ยุโรปเข้าสู่ยุคมืดภายใต้อิทธิพลศาสนจักรเกือบพันปีจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุโรปจึงเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance)

อันเป็นรากฐานของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และตามด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วง ค.ศ. 1750 - 1850


ตั้งแต่ยุคเรเนซองก์ อิทธิพลพระเจ้าลดลง มนุษยนิยม (Humanism) กลายเป็นกระแสหลัก อหังการของมนุษย์เพิ่มขึ้น มนุษย์ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ วิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงโลกได้ทุกอย่าง ผลพวงของกระบวนทัศน์ (Paradigm) แบบนี้คือวิธีคิดแบบ “เส้นตรง” ที่เชื่อว่า “โลกจะเจริญก้าวหน้าต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด”


แต่ในฐานะศาสตร์ที่มีอายุกว่า 10,000 ปี โหราศาสตร์กลับมองว่า อารยธรรม / ความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาตินั้น มีลักษณะเป็น “วัฏจักร” ทุกสรรพสิ่งเมื่อก้าวหน้าเติบโตถึงจุดหนึ่ง ก็จะถดถอยเสื่อมโทรม และดับสูญไปในที่สุด (เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป- เกิดใหม่...) กล่าวได้ว่า โหราศาสตร์มีวิธีคิดแบบ “วงกลม”


วิทยาศาสตร์เชื่อว่า มนุษย์ยิ่งใหญ่ โหราศาสตร์เชื่อว่า จักรวาล (ธรรมชาติ) ยิ่งใหญ่ วิทยาศาสตร์คิดแบบเส้นตรง แต่โหราศาสตร์คิดแบบวงกลม นี่คือความต่าง


การคิดแบบวงกลมเป็นมรดกทางปัญญาของชาวแคลเดียน (Chaldean) แห่งอาณาจักร NeoBabylonian (626 - 539 ก่อน ค.ศ.) หลักการคือ “เวลาเดินเป็นวงรอบและซ้ำเดิมไม่มีที่สิ้นสุด” เหตุผลก็เพราะดวงดาว (Planet) เป็นผู้ควบคุมเวลา เมื่อดวงดาวโคจรเป็นวงรอบ เวลาก็เคลื่อนที่เป็นวงรอบเช่นกัน


ในทัศนะของชาวแคลเดียน วงรอบใหญ่สุดคือจักรราศี (Zodiac) ดวงดาวโคจรครบ 1 รอบจักรราศี ก็เท่ากับ 1 วงรอบ (1 วัฏจักร) เช่น จันทร์โคจร 1 รอบ 28 วัน จันทร์จึงเป็นผู้ควบคุมวัน อาทิตย์โคจร 1 รอบ 12 เดือน อาทิตย์จึงเป็นผู้ควบคุมเดือน พฤหัสโคจร 1 รอบ 12 ปี พฤหัสจึงเป็นผู้ควบคุมปี


ขณะที่เหตุการณ์ในโลกและเรื่องราวในชีวิตคน ก็ผันแปรไปตามอิทธิพลดวงดาวที่โคจรไปในแต่ละราศี (Sign) ของรอบนั้นๆ และนี่คือหลักการพื้นฐานของโหราศาสตร์


วัฏจักร / วัฏฏะ / วงรอบดาวแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ (1) Sidereal Period ครบ 1 รอบเมื่อดาวโคจรกลับมาที่ตำแหน่งเดิมในจักรราศี เช่น 0 องศาราศีเมษ (2) Synodic Period ครบ 1 รอบเมื่อดาว 2 ดวงโคจรกลับมากุมกันอีกครั้ง (เมื่อมองจากโลก) เช่น จันทร์ดับถึงจันทร์ดับครั้งต่อไป


ในทุกดวงชะตา นักโหราศาสตร์สามารถเลือกใช้วัฏจักรดาว (Planetary Cycle) ที่เหมาะสม เพื่อวิเคราะห์และทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยวัฏจักรดาวใหญ่ที่กินเวลานาน เช่น พฤหัส เสาร์ ฯลฯ มักใช้กับดวงเมือง ขณะที่วงรอบดาวเล็ก เช่น อาทิตย์ จันทร์ ฯลฯ มักใช้กับดวงชะตาบุคคล


ดวงเมืองไทยถือกำเนิดในวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6:54 น. ที่กรุงเทพฯ ถ้าเราจะดูภาพใหญ่ของเมืองไทย ก็ควรโฟกัสที่ภพ 10 (กัมมะ) อันหมายถึงการเมือง-การปกครอง ลัคนาดวงเมืองอยู่ราศีเมษ ภพ 10 อยู่ราศีมังกร ราศีมังกรมีเสาร์เป็นดาวเกษตร์ (Ruler) เราจึงเลือกใช้วัฏจักร Sidereal ที่ชื่อ “วงรอบดาวเสาร์ (Saturn Return)” เป็นหลักในการวิเคราะห์ทำนาย


ตำแหน่งดาวเสาร์เดิมอยู่ที่ 10 องศา 48 ลิปดาในราศีธนู ทุก 30 ปี (โดยประมาณ) เสาร์จะโคจรครบ 1 รอบจักรราศีและกลับมาทับตำแหน่งเดิม ทุก 1 รอบดาวเสาร์เท่ากับ 1 ยุคการเมืองไทย เมืองไทยปัจจุบันมีอายุ 233 ปี การเมือง-การปกครองไทยอยู่ในยุคที่ 8


ก่อนเข้าวงรอบปัจจุบัน เราย้อนดูอดีตกันนิดหนึ่ง ดาวเสาร์เข้าสู่วงรอบที่ 7 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2502 ในวันรุ่งขึ้น จอมพลสฤษดิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 11 จุดกึ่งกลางรอบคือวันที่ 15 กันยายน 2516 สิ้นสุดวงรอบ (และเริ่มรอบใหม่) ในวันที่ 18 ธันวาคม 2531


แก่นความหลัก (Theme) ของวงรอบที่ 7 (ยุคที่ 7) นี้คือ “ทหารคุมการเมือง”


รอบนี้มีนายกฯ 8 คนคือ จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม ท่านสัญญา ม.ร.ว. เสนีย์ (2 ครั้ง) ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ท่านธานินทร์ พลเอกเกรียงศักดิ์ และพลเอกเปรม เป็นทหาร 4 พลเรือน 4 แต่อายุรัฐบาลพลเรือนรวมกันแล้ว 3 ปีเท่านั้น หรือแค่ 10 % ของอายุวงรอบ


วงรอบที่ 8 ฟอร์มตัวชัดเจนในวันที่ 4 สิงหาคม 2531 เมื่อพลเอกชาติชายขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 จุดกึ่งกลางรอบคือวันที่ 6 กรกฎาคม 2546 ในสมัยนายกฯทักษิณ


ทุกครั้งที่เปลี่ยนวงรอบ จะเกิดสัญญาณ (Signal) ที่ชัดเจน นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" คือสัญญาณดังกล่าว สนามรบคือพื้นที่ของทหาร สนามการค้าคือพื้นที่ของนักธุรกิจ



ดังนั้น แก่นความหลักของวงรอบปัจจุบัน (ยุคที่ 8) คือ “ธุรกิจคุมการเมือง”


จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณทักษิณ ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่จะก้าวขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดทางการเมืองได้อย่างยาวนาน ขณะที่นายกฯฝ่ายทหารกลับจบแบบไม่สวย เช่น พลเอกชาติชายถูกปฏิวัติ พลเอกสุจินดาเกิดพฤษภาทมิฬ พลเอกชวลิตเจอวิกฤติต้มยำกุ้ง รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ก็มีอายุแค่ปีเดียว อยู่เพื่อรอรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น


วงรอบที่ 7 มีมูลเหตุจาก “ความกลัว” ของคน ปืนคือเครื่องมือ ทหารคือผู้คุมเครื่องมือนั้น การปฏิวัติรัฐประหารคือรูปธรรมที่ปรากฏ


ขณะที่มูลเหตุของวงรอบที่ 8 คือ “ความโลภ” ของคน เงินคือเครื่องมือ นักธุรกิจคือผู้คุมเครื่องมือนั้น นโยบายประชานิยมคือรูปธรรมที่ชัดเจน


สรรพสิ่งทั้งหลายมีเกิด ย่อมมีดับ วัฏฏะเรื่องราวความเป็นไปในโลกก็เช่นเดียวกัน ยุคธุรกิจคุมการเมืองจะสิ้นสุดในวันที่ 28 มกราคม 2561 การเมืองไทยจะเริ่มต้นใหม่ (ยุค 9) อีกครั้ง


ตั้งแต่ปลายปี 56 การเมืองไทยเข้าสู่ปลายยุคที่ 8 ผลเสียจากนโยบายประชานิยมเริ่มปรากฏชัดเจนและย้อนกลับมาทำลายตัวระบบเศรษฐกิจเสียเอง เช่น นโยบายจำนำข้าว รถคันแรก ฟองสบู่หนี้ในภาคครัวเรือนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ฯลฯ


จุดจบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์และการปฏิวัติของคสช. จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในทางโหราศาสตร์ แต่เนื่องจากเป็นปลายยุค - ช่วงเวลา 12.5 % สุดท้ายของวงรอบ สถานการณ์ต่าง ๆ มีโอกาสเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้มาก เพราะเป็นช่วงแห่งการทำลายมูลเหตุ - เมล็ดพันธุ์ของวงรอบเก่า เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้กับเมล็ดพันธุ์ของวงรอบใหม่ที่จะมาถึงในอนาคต


จากนี้จนถึงมกราคม 61 เป็นช่วงแห่งความผันผวนอย่างมากทางการเมือง สิ่งเดียวที่ทำนายได้อย่างมั่นใจคือ ยุคธุรกิจคุมการเมือง (และตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง) จะสูญเสียพลังอิทธิพลจนหมดสิ้น แน่นอน คงมีการดิ้นรนต่อต้าน แต่ไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์ กลับทำให้เสียหายหนักขึ้นไปอีก


คำถามสำคัญข้อสุดท้าย ยุคที่ 9 ของการเมืองไทยเป็นยุคอะไร ? ไม่ใช่ยุคนักธุรกิจแน่นอน เพราะอิทธิพลวงรอบเปลี่ยนไปแล้ว แต่จะเป็นยุคของทหาร (และข้าราชการ) หรือไม่ ? หรือจะเป็นของขุมพลังทางสังคมกลุ่มใหม่ที่กำลังบ่มเพาะตัวเองอยู่ ?


สิงหาคม 2559 เราจะได้เห็น “จุดเปลี่ยนที่แท้จริง” และบางที คำตอบอาจรออยู่ที่นั่น