วิกฤติตัวประกัน: บทบาทและท่าทีของจอร์แดน (2)

วิกฤติตัวประกัน: บทบาทและท่าทีของจอร์แดน (2)

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็มนับตั้งแต่นักบินรบของกองทัพอากาศจอร์แดนถูกกลุ่ม IS จับเป็นตัวประกันเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม

 รัฐบาลจอร์แดนถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยที่ไม่สามารถช่วยเหลือนักบินได้ รวมทั้งการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในนโยบายต่างประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯในการถล่มโจมตีกลุ่ม IS และเป็นมิตรกับอิสราเอลมากเกินไป จนเป็นสาเหตุที่ทำให้นักบินเป็นเป้าหมายถูกจับเป็นตัวประกัน


เชื่อกันว่า ทางการจอร์แดนทราบและมีข้อมูลการข่าว (ที่ไม่สามารถยืนยันได้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์) ว่า ตัวนักบินน่าจะเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม ดังนั้น การที่รัฐบาลมีท่าทีในช่วงแรกๆ (ก่อนที่กลุ่ม IS จะเสนอดีลเงื่อนไขขอแลกเปลี่ยนตัวประกันกับนักโทษหญิงในอีก 3 สัปดาห์ต่อมา) เหมือนไม่กระตือรือร้นหรือร้อนรนที่จะหาทางช่วยเหลืออย่างจริงๆ จังๆ เพราะเชื่อว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดที่จะช่วยเหลือตัวประกันที่เสียชีวิตแล้ว (?)


จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อกลุ่ม IS กำหนดเงื่อนไขใหม่ (ต่อรัฐบาลญี่ปุ่น) ให้ปล่อยตัวนักโทษหญิงที่ชื่อซาจิดา อัล-ริชาวีเพื่อแลกกับตัวประกันญี่ปุ่นคนที่สอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดทางให้รัฐบาลจอร์แดนต้องขยับเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิกฤติตัวประกัน “3J” (Japanese - Jordanian - Jihadi) ในครั้งนี้โดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนอกจากนักโทษประหารชาวอิรักที่กลุ่ม IS ต้องการจะอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการจอร์แดนแล้ว กลุ่ม IS ยังขู่ว่าจะฆ่าตัวประกันนักบินจอร์แดน (ก่อนฆ่าตัวประกันญี่ปุ่น) อีกด้วย


ถึงแม้โดยหลักการแล้ว จอร์แดนจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศอาหรับหนึ่งที่ไม่เคยเจรจาอ่อนข้อให้กับกลุ่มก่อการร้าย (เหมือนเช่นญี่ปุ่น) แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตของตัวประกันย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ดังนั้น รัฐบาลจอร์แดนได้ประกาศท่าทีที่ชัดเจนที่สุด (ที่แตกต่างจากรัฐบาลญี่ปุ่น) ว่า พร้อมเจรจาและยอมรับเงื่อนไขของกลุ่ม IS ที่จะปล่อยตัวนักโทษหญิงอัล-ริชาวีในทันที หากกลุ่ม IS ยอมรับเงื่อนไข “2 ต่อ 1” พ่วงตัวประกันนักบินจอร์แดนรวมเข้าไปด้วย


แน่นอนที่สุดว่า คงไม่มีรัฐบาลไหนที่ใจดีอยากเป็น “พ่อพระ” เห็นความสำคัญและยอมช่วยเหลือพลเมืองของชาติอื่นมากกว่าพลเมืองของชาติตัวเองเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเข้าใจได้ว่า จอร์แดนจะไม่มีวันยินยอมปล่อยตัวนักโทษหญิงอิรักเพื่อแลกกับอิสรภาพของตัวประกันญี่ปุ่นเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้นำจอร์แดนตระหนักดีว่า อิสรภาพและชีวิตความเป็นความตายของนักบินจอร์แดนจะกลายเป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความยุ่งเหยิง ความรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศได้


ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อการเจรจาเข้าสู่ช่วงเส้นตายครั้งที่สอง ท่าทีและเป้าหมายของจอร์แดนกลับเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ผู้นำญี่ปุ่นต้องจำใจยอมรับ นั่นคือ พูดถึงเฉพาะอิสรภาพของตัวนักบินจอร์แดนเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีการรวมหรือกล่าวถึงตัวประกันชาวญี่ปุ่นในเงื่อนไขอีกเลย


นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างที่การเจรจาดำเนินไป ด้านหนึ่ง จอร์แดนแสดงออกถึงท่าทีว่าพร้อมยอมรับเงื่อนไขของกลุ่ม IS แต่ในอีกด้านหนึ่ง จอร์แดนก็กดดันและข่มขู่กลุ่ม IS ว่า จะจัดการ (ประหารชีวิต) นักโทษของกลุ่ม IS ทุกคนที่ถูกทางการจอร์แดนควบคุมไว้ หากนักบินจอร์แดนคนนี้มีอันเป็นไป


ความผิดปกติประการหนึ่งของวิกฤติตัวประกัน “3J” ในครั้งนี้ก็คือ ในช่วงระหว่างการเจรจา กลุ่ม IS ได้ประกาศกำหนดเส้นตายถึงสองครั้ง (สะท้อนถึงความลังเลหรือความขัดแย้งภายในกลุ่ม IS?) สุดท้ายเมื่อไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ตัวประกันทั้งสามคนที่อยู่ในดีลเงื่อนไขจึงต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าที่สุด


ความล้มเหลวของดีลเจรจาครั้งนี้มาจากหลายๆ สาเหตุ ในมุมมองของสื่อญี่ปุ่นเห็นว่า เนื่องมาจากความขัดแย้งภายในกลุ่ม IS ที่มีการแย่งชิงบทบาทการนำระหว่างสายซีเรียและสายอิรัก ในขณะที่สื่อรัฐของจอร์แดนเชื่อว่า เป็นผลมาจากการที่กลุ่ม IS ไม่สามารถให้หลักประกันหรือพิสูจน์ด้วยหลักฐานว่า นักบินคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ตามที่รัฐบาลจอร์แดนต้องการ


เป็นการตอกย้ำข้อมูลการข่าวของทางการจอร์แดนที่เชื่อว่า นักบินตัวประกันเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม ไม่ใช่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ยิ่งทำให้ข้อสมมติฐานมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นว่า ทำไมฝ่าย IS จึงไม่เคยกล่าวถึงหรือหยิบยกตัวประกันจอร์แดนขึ้นมาเป็นเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนตัวประกันโดยตรงเลยตั้งแต่แรก (นอกเหนือจากการขู่ว่าจะสังหารในทันทีหากตัวนักโทษหญิงอิรักไม่ได้รับอิสรภาพ)


ในอีกด้านหนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่า กลุ่ม IS ไม่เคยคิดเรื่องการช่วยเหลือตัวนักโทษหญิงชาวอิรักคนนี้มาตั้งแต่แรกเลย และไม่เคยคิดเรื่องดีลการแลกเปลี่ยนตัวประกันมาก่อน (การแลกเปลี่ยนตัวประกันครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรกของกลุ่ม) จึงสังหารนักบินตัวประกันไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา (?) ทั้งนี้ หากกลุ่ม IS ได้คิดคำนวณเรื่องนี้อย่างรอบคอบตั้งแต่แรก และหยิบยกเรื่องการขอแลกเปลี่ยนตัวประกันนักบินคนนี้กับนักโทษ IS ที่ถูกกุมขังอยู่ในจอร์แดนอีกจำนวนมาก (ไม่ใช่เพียงแค่นักโทษหญิงอัล-ริชาวีเพียงคนเดียว) ก็เชื่อได้ว่า อาจเป็นดีลที่ทางรัฐบาลจอร์แดนพร้อมจะเจรจาก็ได้ (เหมือนที่เคยแลกตัวทูตจอร์แดนกับกลุ่มก่อการร้ายในลิเบียเมื่อปีที่แล้ว)


ดังนั้น เมื่อตัวประกันชาวญี่ปุ่นคนที่ 2 ถูกฆ่าตัดศีรษะอย่างโหดร้ายที่สุด ท่าทีของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็คือ จะไม่มีวันให้อภัยกลุ่ม IS อย่างแน่นอน (โดยไม่ได้ระบุว่าจะดำเนินการแก้แค้นหรือไม่) และต่อมา เมื่อปรากฏภาพนักบินจอร์แดนถูกเผาทั้งเป็นภายในกรงขังอย่างโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ ปฏิกิริยาของผู้นำจอร์แดน (โดยเฉพาะกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2) ชัดเจนที่สุดก็คือ จะ “แก้แค้น” กลุ่ม IS ให้ถึงที่สุดแบบพลิกแผ่นดินไม่ให้หลงเหลือ


ประการสำคัญ วิกฤติตัวประกันครั้งนี้ เปิดโอกาสให้รัฐบาลจอร์แดนได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาทั้งภายในและระหว่างประเทศพร้อมๆ กัน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


ภายในประเทศ ท่าทีที่แข็งกร้าวของกษัตริย์อับดุลเลาะห์ต่อกลุ่ม IS สามารถชนะใจคนเชื้อสายเบดูอิน (เผ่าเดียวกับนักบินผู้โชคร้าย) กว่าสามล้านคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้ง


แต่เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี 1999 กลายเป็นพลัง (กองทัพทหาร) ที่หนุนเสริมกษัตริย์อับดุลเลาะห์อย่างมั่นคงที่สุด ในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถกำจัดหรือจำกัดบทบาทและอิทธิพลของฝ่ายต่อต้านมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Muslim Brotherhood ไม่ให้เป็นหอกข้างแคร่หรือแพร่พันธุ์แนวคิด “IS” ไปยังกลุ่มคนเชื้อสายปาเลสไตน์ (ร่วมสี่ล้านคน) ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และไม่ให้ลุกลามขยายตัวจนเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในอนาคต


ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าอาบูมูซาบอัล-ซาร์ควาวี อดีตมือขวาของบิน ลาเดน เคยเป็นผู้นำกลุ่มอัลกออิดะฮ์ในอิรัก และถือเป็น “บิดา” ผู้จุดประกายและริเริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แนวคิดจัดตั้งกลุ่ม IS ตั้งแต่แรกในปี 1999 จนขยายพันธุ์ในปัจจุบันนี้เป็นชาวจอร์แดน (เชื้อสายปาเลสไตน์)


ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขระหว่างประเทศ วิกฤติตัวประกันครั้งนี้ทำให้จอร์แดนมีความชอบธรรมมากที่สุดในการเปิดศึกเพื่อถอนรากถอนโคนกลุ่ม IS ให้หมดสิ้นไป โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดาผู้นำประเทศอาหรับและผู้นำทางศาสนาคนสำคัญๆ ในโลกมุสลิมที่ต่างพากันประณามการกระทำของกลุ่ม IS ว่าเป็นศัตรูของอิสลามทำให้กลุ่ม IS มีสภาพและฐานะไม่ต่างจาก “ซาตานที่โดดเดี่ยว” (Isolated Satan- IS)


จอร์แดนได้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นประเทศแรกที่ประกาศทำศึกแก้แค้นเอาคืนกลุ่ม IS เปิดทางให้ประเทศอื่นๆ อย่างอียิปต์ดำเนินมาตรการ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แบบไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวอีกต่อไป แน่นอนที่สุดว่าความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรนในฐานะราชอาณาจักรพันธมิตรที่ใกล้ชิดย่อมส่งผล (ดี) ทางจิตวิทยาไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน ภารกิจกวาดล้างกลุ่ม IS จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่า จอร์แดนจะขอหรือยอมรับความร่วมมือทางทหารจากรัฐบาลอิรักและซีเรียในภารกิจครั้งประวัติศาสตร์เพื่อร่วมกันกำจัดกลุ่ม IS ให้สิ้นซาก


ถึงที่สุดแล้ว ภาพ “เผาทั้งเป็น” นักบินจอร์แดนครั้งนี้ จะกลายเป็นพลังแค้นเกิดเป็น “อาหรับซัมเมอร์” ที่สามารถสั่นสะเทือนจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เหมือนตอนที่นายโมฮัมเหม็ด บัวซิซี หนุ่มตูนิเซียเผาตัวเองเมื่อปลายปี 2010 จนนำไปสู่ “อาหรับสปริง” ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางหรือไม่ เป็นสิ่งที่โลกต้องให้ความสำคัญอย่างมาก