เมื่อผมชวนท่านทูตจีนกับญี่ปุ่น เสวนากันที่น่าน

เมื่อผมชวนท่านทูตจีนกับญี่ปุ่น เสวนากันที่น่าน

ผมพบกับท่าน หนิงฟู่ขุ่ย (Ning Fukui) เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยที่งาน

     “วันนี้วันดี สักการะราชกุมารี ในนันทบุรีศรีลานนา” ที่น่านเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธาน งานเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ

    อีกมุมหนึ่งผมก็เห็นท่านชิเกกาสึ ซาโตะ (Shigekazu Sato) ท่านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย

    ผมจึงชวนสองท่านทูตมาสนทนาปราศรัยและถ่ายรูปร่วมกัน เพื่อสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างจีนและญี่ปุ่น ซึ่งยังมีปัญหาความขัดแย้งในระดับชาติอยู่ขณะนี้

    ท่านทูตจีนไม่ลังเลที่จะเดินมาสมทบกับท่านทูตญี่ปุ่น และทั้งสองท่านต่างก็จับมือทักทายกันอย่างเป็นกันเอง

    เพราะท่านทูตทั้งสองรู้จักกันมาประมาณ 20 ปีแล้ว

    ท่านทูตญี่ปุ่นพูดภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะเคยเรียนอยู่ประเทศจีนและรับตำแหน่งประจำกงสุลญี่ปุ่น และสถานทูตญี่ปุ่นที่ปักกิ่งมาก่อน

    ท่านทูตซาโตะบอกผมด้วยอารมณ์ดีว่า “ความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลจะมีปัญหาอย่างไรก็ว่าไป แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผมกับท่านทูตจีนไม่มีปัญหา เพราะเรารู้จักกันมายาวนานแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน”

    ท่านทูตหนิงก็สนทนากับท่านทูตญี่ปุ่นอย่างสนิทสนม ไม่มีวี่แววของความระหองระแหงอย่างที่ระดับรัฐบาลปักกิ่งกับโตเกียวมีต่อกันเลยแม้แต่น้อย

    ทำให้ผมมีความหวังว่า ถ้าหากนักการทูตของสองประเทศนี้สามารถจะน้าวโน้มให้ผู้นำของประเทศตัวเองหาทางพูดจาปรองดองกันได้ อย่างที่ผมเห็นในระดับส่วนตัวของนักการทูตแล้วไซร้ ก็น่าจะมีความหวังว่าจะมีสันติภาพระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียได้ไม่ยากนัก

    งานนี้มีเอกอัครราชทูตจากสองประเทศนี้เท่านั้นที่ได้รับเชิญ เพราะอาหารที่จัดเลี้ยงอย่างอลังการมาจากเสฉวนของจีน เครื่องบินต้องขนข้าวของครัวจีนพร้อมกับพ่อครัวระดับอ๋องมากว่า 40 คน มาทำอาหารมื้อพิเศษนี้อย่างพร้อมสรรพ

    ส่วนพลุอันสวยงามตระการตาและยิงยาวนานถึง 17 นาที ในช่วงท้ายของงานนั้นมาจากญี่ปุ่น

    เป็นการผสมผสานความสุดยอดของสองประเทศมาอยู่ในงานอันยิ่งใหญ่ที่จังหวัดน่าน และเบื้องหลังของความสำเร็จของงานคือ วิสัยทัศน์และความทุ่มเทของคุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานบริหารของธนาคารกสิกรไทย ที่ทำให้เกิดงานครั้งประวัติศาสตร์นี้

    รัฐบาลจีนกับญี่ปุ่นจะมีความบาดหมางกันอย่างเป็นทางการอย่างไร แต่ที่จังหวัดน่านวันนั้น สองเอกอัครราชทูตได้แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในความชื่นชมและสักการะต่อสมเด็จพระเทพฯ ของประเทศไทยอย่างยิ่ง

    ผมเกือบจะเรียกการพบปะระหว่างสองทูตวันนั้นว่า “ปฏิญญาน่าน” ด้วยซ้ำไปถ้าไม่เกรงใจประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และนายกฯ ชินโซะ อาเบะ ที่ควรจะเป็นผู้ริเริ่มฟื้นความสัมพันธ์ให้ราบรื่น เหมือนบรรยากาศที่ผมประสบมาเองกับสองท่านทูต ที่จังหวัดน่านของเราวันนั้น