ข้างหน้าคือเหว!
บางคนเรียกวันนี้ว่าเป็น วันเริ่มต้นของจุดจบ อีกบางคนบอกว่ามันคือ จุดจบของการเริ่มต้นใหม่
แต่ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้เป็น “จุดจบ” ของประเทศ และหวังว่าจะเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการเรียกสติกลับมาให้กับเหล่านักการเมืองทั้งหลาย
เพราะคนที่พาบ้านเมืองมาแขวนโตงเตงอยู่ “ขอบเหว” ทางการเมืองอีกวาระหนึ่งนั้นไม่ใช่ใครอื่น หากแต่คือนักการเมืองที่เล่นเกมเอาชนะคะคานกันเพื่อกุมอำนาจเท่านั้น
ไม่ได้เกี่ยวกับคนส่วนใหญ่ของประเทศแต่อย่างใด
เรามาถึงจุดอันตรายนี้อีกรอบหนึ่งได้อย่างไร?
เป็นเพียงเพราะใครคนหนึ่งบ่น “ผมอยากกลับบ้าน” เท่านั้นหรือ?
หรือเพราะการประเมินพลังของคนไทยส่วนใหญ่ผิด คิดว่าหากมีเสียงข้างมากในสภาแล้ว, จะทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น โดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมา
หากวันนี้มีการลงมติผ่านวาระสอง และวาระสาม ของ พ.ร.บ นิรโทษกรรม อย่างที่แกนนำพรรคเพื่อไทย กำหนดเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่มีเสียงต่อต้านทั้งจากภายในพรรค และการประกาศ “เป่านกหวีด” ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อระดมผู้คนที่คัดค้านออกมานอกถนนอีกครั้งหนึ่ง, ความสับสนปั่นป่วนทางการเมืองสำหรับคนไทยทั่วไป ที่จะตามมาจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งประเทศอีกรอบหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้
ประเด็นของความเห็นพ้อง และต่อต้านครั้งนี้ไม่ได้แบ่งตามสีอีกต่อไป หากแต่อยู่ที่ว่า “ใคร” จะได้ประโยชน์จากการนิรโทษกรรมครั้งนี้
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าทักษิณ ชินวัตร ไม่ควรจะได้การนิรโทษกรรม เพราะมีคำพิพากษาของศาลถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม และหากความผิดคอร์รัปชันได้รับการอภัยโทษได้ ล้างผิดได้ บ้านเมืองก็ไม่ต้องมีอันเป็นปกติสุขอีกต่อไป
อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะอยู่ข้างเดียวกับพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไม่ต้องการให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ประโยชน์เพราะมีข้อหารุนแรง สั่งฆ่าผู้ประท้วงรัฐบาลสมัยโน้น
ผู้ไม่เห็นด้วยทั้งสองฝ่ายทำท่าว่าจะเห็นด้วยหากการนิรโทษกรรมครั้งนี้ จะปล่อยคนที่ถูกจำขังหรือถูกกล่าวหาเพราะกิจกรรมการเมืองประท้วงรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตาม
แต่มีการแก้ไขในขั้นกรรมาธิการออกมาลักษณะ “สุดซอย” ผู้คนก็มองทะลุว่าปฏิบัติการครั้งนี้ มีเบื้องหลังที่ไม่ชอบมาพากลอยู่เป็นอันมาก
แต่เมื่อฝ่ายผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านโดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้านจากสารทิศ และยังอ้างว่าเมื่อกฎหมายนี้ผ่านแล้วจะทำให้ประเทศไทยออกจากความขัดแย้ง
ทั้ง ๆ ที่ปรากฎชัดเจนแล้วว่าทุกขั้นตอนของการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ก่อให้เกิดความร้าวฉานอย่างหนักหน่วงในประเทศ
วันนี้ เรามายืนอยู่ตรงขอบเหวของการเมืองอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ผู้รับผิดชอบต่อบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประธานสภาฯ หรือแกนนำฝ่ายค้าน ไม่ได้แสดงความเป็น “ผู้บริหารความขัดแย้ง” ระดับชาติเพื่อไม่ให้คนทั้งชาติต้องหล่นลงไปในก้นเหวข้างหน้านี้ได้เลย
นายกฯบอกว่าเรื่องนี้รัฐบาลไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของสภา ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลนี้คือส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยที่กำลังผลักดันเรื่องนี้
รัฐบาลย่อมรู้ว่าหากเกิดวิกฤตการเมืองรอบใหม่ เศรษฐกิจของประเทศก็จะมีอันต้องเผชิญกับมรสุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่สถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะอ่อนไหว และบรรยากาศระหว่างประเทศมีความตึงเครียดอย่างน่ากังวล
ฝ่ายต่อต้านเมื่อเห็นว่าสู้ในสภา ไม่ได้ ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยตระหนักแล้วว่า การแสดงความเห็นคัดค้านด้วยเหตุด้วยผล ตามครรลองประชาธิปไตย ไม่อาจจะเกิดผลให้มีการยั้งคิดของผู้มีอำนาจได้อีกต่อไป
จึงเกิดภาวะการเผชิญหน้ารอบใหม่ที่ไม่ใช่การ “Set Zero” หากแต่จะนำประเทศกลับไปสู่ “Year Zero” เท่านั้นเอง
ใครโยนฟืนท่อนใหญ่เข้าไปในกองไฟ มีความรับผิดชอบต่อคนทั้งชาติ ที่จะต้องดึงกลับออกมาก่อนจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์