เมื่อโลกธุรกิจเข้าสู่ยุคการแบ่งปันและความร่วมมือ (1)

เมื่อโลกธุรกิจเข้าสู่ยุคการแบ่งปันและความร่วมมือ (1)

ผมเขียนถึง “เศรษฐกิจโลก” มามาก วันนี้จะเขียนเกี่ยวกับ “โลกธุรกิจ” บ้าง ซึ่งหมายถึงโลกของการทำธุรกิจ และภาวะแวดล้อมการทำธุรกิจในเศรษฐกิจโลก

ที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญขณะนี้ โดยสาระที่จะเขียนวันนี้เก็บตกมาจากประเด็นที่ผมเตรียมบรรยายในหัวข้อ “การทำธุรกิจในโลกเศรษฐกิจใหม่” หรือ Entrepreneurship in a New World Economy ซึ่งมีหลายประเด็นน่าสนใจ ก็เลยจะเอาเรื่องนี้มาเขียนแบ่งปันให้ผู้อ่าน “กรุงเทพธุรกิจ” ทราบ

ทุกคนทราบดีว่าโลกเศรษฐกิจปัจจุบันเป็นเศรษฐกิจยุคดิจิทัลขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ จากเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่เดิม มาเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่หลายคนเปรียบว่าเป็นการปฏิวัติทางเศรษฐกิจครั้งที่สาม ครั้งแรกคือ การปฏิวัติกสิกรรมตามด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม และล่าสุดคือการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่นำไปสู่การผลิตสินค้าและบริการในราคาถูกลงมาก ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ เป็นเจ้าของได้ จนกลายเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ประจำวันของคนทั้งโลก นั่นก็คือ โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต

ประมาณว่าปี 2012 ประชากรโลกที่ใช้ Internet มีกว่า 2 พันล้านคน ขณะที่จำนวนโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในโลกมีกว่า 6.8 พันล้านเครื่อง คิดเป็นร้อยละ 87 ของประชากรโลก

ในแง่ธุรกิจ เทคโนโลยีดิจิทัลได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างน้อยสามเรื่อง

เรื่องแรก เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้สินค้าและบริการในเศรษฐกิจโลกแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่ม “ยิ่งวันยิ่งถูก” อีกกลุ่ม “ยิ่งวันยิ่งแพง” กลุ่มแรกจะเป็นสินค้าและของใช้ที่เคยแพงจากการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เดิม เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้สินค้าเหล่านี้ถูกลงจนทุกคนสามารถซื้อหาได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ประจำบ้านต่างๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ เครื่องมือสื่อสาร และรถยนต์ อีกกลุ่มเป็นสินค้าที่ยิ่งวันยิ่งแพง เพราะการผลิตใช้ทักษะแรงงานเฉพาะตัวที่มีความแตกต่าง ไม่สามารถคัดลอก หรือก๊อบปี้เป็นสินค้าแบบเหมาโหล (Mass Production) ได้ เช่น อาหารตามร้าน ตั๋วดูฟุตบอล ค่ารักษาพยาบาล ค่าที่ปรึกษาทนายความ ตั๋วดูคอนเสิร์ต ความแตกต่างของราคาสินค้าสองกลุ่มนี้เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ของอุปสงค์อุปทาน กลุ่มแรกเป็นสินค้าที่ผลิตได้ง่ายจากเทคโนโลยีดิจิทัล อุปทานจึงมาก ราคาก็ลดลง อีกกลุ่มอุปทานมีจำกัดกว่า เพราะมาจากฝีมือหรือทักษะแรงงานไม่ใช่หุ่นยนต์ดิจิทัล ราคาก็เลยแพง ยิ่งเวลาผ่านไป สินค้ากลุ่มแรกจะถูกลงเรื่อยๆ ขณะที่กลุ่มหลังจะแพงขึ้นเรื่อยๆ

ประเด็นที่นักธุรกิจต้องคิดก็คือ ขณะนี้คุณกำลังทำธุรกิจในสินค้ากลุ่มไหน

เรื่องที่สอง ระบบอินเทอร์เน็ตทำให้ความรู้ (Knowledge) เปิดกว้างให้กับทุกคน ทุกอย่างที่เป็นความรู้ในโลกที่อยากเรียนอยากรู้สามารถเปิดหาได้จากอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเทคโนโลยีจึงทำให้การเข้าถึงความรู้ไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้คนในโลกอีกต่อไป ความรู้ขณะนี้เป็นสินค้าที่ฟรีสำหรับทุกคน ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ และข้อมูลข่าวสารได้พร้อมๆ กัน เหมือนกัน ประเด็นก็คือ ใครจะให้เวลามากกว่ากันเพื่อเสาะหาความรู้เหล่านี้ และใครจะสามารถนำความรู้เหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในทางเศรษฐศาสตร์เรามักมองว่าการศึกษาเป็นปัจจัยที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางโอกาสของคนในสังคม ระบบอินเทอร์เน็ตขณะนี้เป็นเครื่องมือดังกล่าวที่สร้างโอกาส และลดความแตกต่างของโอกาสทั้งในการเรียนรู้ และการดำรงชีพของคนในเศรษฐกิจโลก

เรื่องที่สาม อินเทอร์เน็ตขณะนี้เป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญของคนทั่วโลก ที่มีความเร็วจนไม่น่าเชื่อ ทำให้การติดต่อระหว่างจุดหนึ่งของโลก ไปถึงอีกจุดหนึ่งของโลกสามารถทำได้ทันที ทั้งเสียง ข้อความ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว พูดได้ว่าทุกคนที่เรารู้จักสามารถอวยพรวันเกิดเราได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก สามารถพูดคุยกัน เหมือนอยู่ในห้องเดียวกันผ่านเทคโนโลยีของระบบอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญระบบอินเทอร์เน็ตทำให้การเชื่อมต่อ (Connecting) ของคนที่รู้จักกันและไม่รู้จักเกิดขึ้น คนไม่เคยพบกันสามารถสร้างเครือข่าย (Networking) ติดต่อพูดคุยทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนความคิด และทำกิจกรรมร่วมกันได้ การซื้อขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นตัวอย่างแรกของธุรกิจที่เกิดจากการเชื่อมต่อดังกล่าว ที่ระบบอินเทอร์เน็ตได้สร้าง “ตลาด” ให้เป็นตลาดที่มีศักยภาพของประชากรกว่า 2 พันล้านคนที่มีอินเทอร์เน็ตสามารถที่จะซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้

นี้คือโลกปัจจุบันที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พูดได้ว่า จอคอมพิวเตอร์ขณะนี้ เป็นทั้งมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ที่เราสามารถหาความรู้ เป็นโรงพิมพ์ที่เราสามารถผลิตเอกสาร ส่งข้อความให้คนทั่วโลกได้อ่าน เป็นสถานีโทรทัศน์ที่เราสามารถเผยแพร่สิ่งที่อยากให้คนทั่วโลกเห็นหรือได้ยิน เป็นชุมชนที่เราสามารถขอความคิดเห็น ขอคำแนะนำ ให้ความเห็น แลกเปลี่ยนความเห็นในกิจกรรมที่เราสนใจ และเป็นตลาดที่เราสามารถจะทำธุรกิจ ไม่ว่าจะซื้อ ขาย ลงทุน นี่คือโลกปัจจุบันที่คนกว่า 2 พันล้านคนที่มี Internet กำลังใช้ประโยชน์ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประโยคนี้มาจากที่ได้ฟัง Howard Rhinegold พูดถึง Internet

การสร้าง “ตลาด” โดยระบบอินเทอร์เน็ตให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตสามารถติดต่อ และซื้อขายสินค้าระหว่างกัน เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของธุรกิจในโลกยุคดิจิทัลที่มีอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลางเช่น Ebay ที่เป็นตลาดจับคู่อุปสงค์และอุปทาน โดยทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่เจอกัน แต่ส่งมอบสินค้าและโอนเงินผ่านตัวกลาง อันนี้คือรูปแบบธุรกิจในระบบอินเทอร์เน็ตที่เราคุ้นเคย

แต่สิ่งใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น และน่าสนใจก็คือเทคโนโลยีของระบบเน็ตเวิร์ค ได้นำธุรกิจเข้าสู่ยุค (Era) ใหม่ของโลกธุรกิจของการแบ่งปัน (Sharing) และร่วมมือ (Collaborating) กล่าวคือ คนที่ไม่เคยรู้จักกันในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เริ่มไว้วางใจกัน และเริ่มทำธุรกิจร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการแลกของใช้ การช่วยเหลือในกิจกรรมประจำวัน การแชร์หรือใช้สินค้าและบริการร่วมกัน การร่วมมือกันในกิจกรรมเศรษฐกิจ การร่วมมือกันแบบแนวร่วมปฏิบัติ (Collective Action) ในประเด็นทางสังคมการเมืองที่มีความเห็นเหมือนกัน รวมถึงการทำธุรกิจและลงทุน


ดังนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ก็คือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่แต่ก่อนใช้ระบบอินเทอร์เน็ตเฉพาะพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความเห็น ปัจจุบันคนเหล่านี้ (ซึ่งไม่รู้จักกัน) กำลังใช้ประโยชน์เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีเน็ตเวิร์คทำธุรกิจร่วมกัน โดยโมเดลธุรกิจ (Business Model) ก็คือ ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้เกิดการแบ่งปันและความร่วมมือระหว่างคนในเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค ทรัพย์สิน ความรู้ ทักษะ ความสามารถ เพื่อผลของการสร้างมูลค่า (Value) และความมั่งคั่ง (Wealth)

พูดง่ายๆ โลกธุรกิจใหม่กำลังเกิดขึ้น ที่คนในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ไม่รู้จักกันกำลังทำธุรกิจร่วมกันโดยตรง ไม่ผ่านระบบเศรษฐกิจปกติ โลกธุรกิจใหม่นี้กำลังมาแรง เป็นโลกธุรกิจใหม่ของการแบ่งปันและความร่วมมือ

(ยังมีต่อ)