ดูตัวเองก่อนรับหน้าที่ผู้บริหาร

ดูตัวเองก่อนรับหน้าที่ผู้บริหาร

แทบทุกวงการต้องมีผู้บริหาร และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าผู้บริหารมีส่วนสำคัญในการที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะพบความสำเร็จ หรือความล้มเหลว

การก้าวขึ้นรับหน้าที่ผู้บริหารในทุกระดับจึงเป็นก้าวสำคัญที่ต้องตัดสินใจให้ดี ใครๆ ก็อยากให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารไม่ใช้เส้นทางก้าวหน้าเพียงเส้นทางเดียวแล้วในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่หน้าที่การงานในแต่ละตำแหน่งมีความสลับซับซ้อนมากกว่าแต่ก่อนมากมาย วันนี้เรามีทางเลือกอื่นในการก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นอกจากการรับหน้าที่เป็นผู้บริหารเหมือนสมัยก่อน ดังนั้น ใครก็ตามที่กำลังคิดว่าจะเดินหน้าหาตำแหน่งผู้บริหารคงต้องลองทบทวนตัวเองหน่อยว่าตัวฉันเหมาะที่จะเป็นผู้บริหารในวันนี้ พรุ่งนี้หรือไม่ ก่อนที่จะรีบร้อนรับหน้าที่ผู้บริหารไปเลยทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีความสุขในการทำหน้าที่นั้นเลย

สำนักงานบริหารงานบุคคลของสหรัฐอเมริกาเคยมีคำแนะนำสำหรับคนที่จะมาเป็นผู้บริหารระดับสูงว่าต้องมีคุณสมบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน คนที่อยากเป็นผู้บริหารน่าจะลองใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาตัวเองก่อนว่าเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ผู้บริหารในยามนี้หรือไม่ โดยคุณสมบัติแรกที่ผู้บริหารในยุคที่สรรพสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต้องมีนั้นคือต้องเป็นคนที่นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนเป็นผู้บริหารในวันนี้ต้องนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้หน่วยงานยืนยงอยู่ได้ท่ามกลางสารพัดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผู้บริหารที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเปรียบเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่ปักหลักต้านพายุ ซึ่งไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็จะมีสักวันหนึ่งที่จะพ่ายแพ้ต่อพายุจนหักโค่นลงมาในที่สุด ในขณะที่ผู้บริหารที่นำการเปลี่ยนแปลงนั้นเปรียบเหมือนไผ่ต้นใหญ่ที่แข็งแรง แต่ปรับกิ่งก้านลู่ไปตามทิศทางลม ไม่ว่าลมหรือพายุแรงแค่ไหน ก็ย้อนกลับมาแข็งแรงตามเดิมได้เสมอ

ถ้าท่านไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ขออย่าได้รับหน้าที่ผู้บริหาร แต่ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ท่านอยากให้คงอยู่นั้นดีกว่า ทั้งนี้ ต้องตระหนักไว้ด้วยว่าสิ่งที่ท่านเชี่ยวชาญมาก จนไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นนั้น ยังคงเป็นประโยชน์ในวันนี้กับหน่วยงานนั้นเหมือนวันก่อนหรือใหม่ ถ้านึกได้แต่คำตอบที่เข้าข้างตัวเองว่าความเชี่ยวชาญของฉันยังจำเป็นกับหน่วยงานนี้ แต่นึกไม่ออกว่ามีใครบ้างในหน่วยงานนี้ที่เดินตามแนวทางที่ฉันเชี่ยวชาญบ้างในวันนี้ แสดงว่าวันนี้ความเชี่ยวชาญของท่านหมดความจำเป็นสำหรับหน่วยงานนี้ไปนานแล้ว ลูกค้าชอบอกชอบใจกับไลน์ ใช้ทั้งวัน แต่ท่านบอกว่าหน่วยงานนี้ยังจำเป็นที่ต้องให้บริการโทรสารต่อไป เพราะตัวฉันเชี่ยวชาญเรื่องนี้จนหาใครเทียบเคียงได้ยาก แต่หันไปดูน้องๆ ในที่ทำงานไม่เห็นมีใครสนใจเรื่องโทรสาร เช่นนี้แสดงว่าความเชี่ยวชาญเรื่องโทรสารของท่าน หมดความจำเป็นไปนานแล้ว

คนที่จะนำการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้นั้น จึงต้องเป็นคนที่มองไกล มองเห็นว่าวันหน้าหน่วยงานจะเป็นอย่างไร เรียกกันแบบที่บ้านเราชอบเรียกกันว่าต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์นั่นเอง หากจะบอกว่าใครมีวิสัยทัศน์ คนนั้นต้องสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวได้อย่างรวดเร็วและรับรู้ได้ด้วยตนเองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วโดยไม่ต้องมีใครมาบอกกล่าว ถ้านึกอย่างไรก็มองไม่เห็นอนาคต นึกได้แต่อดีตอันหวานชื่น นึกได้แต่วันดีคืนดีในอดีตเท่านั้น นึกได้แค่นี้ต้องตัดใจไม่รับหน้าที่ผู้บริหารในวันนี้หรือวันหน้า เพราะถ้ารับไปแล้วจะพบว่าลูกค้าหนีหาย ลูกน้องสลายตัว แถมต้องงุนงงว่าทำไมลูกค้าโง่หนักหนาที่ไม่ยอมอยู่กับอดีตอันหวานชื่นที่เราเสนอให้ ไม่รู้ลูกค้าจะดิ้นรนไปหาของใหม่กันทำไม

จะนำคนอื่นไปทางใหม่ได้นั้น คนนำต้องทนทานกับสารพัดอุปสรรคที่จะต้องฝ่าฟัน ถ้าเจออุปสรรคสองสามเรื่องแล้วหมดแรงถอดใจที่จะนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่ารับหน้าที่ผู้บริหารเด็ดขาด เพราะจะทนทุกข์ทรมานกับการเฝ้าดูความล่มสลายของหน่วยงาน ทั้งๆ ที่ตนเองมองเห็นทางรอดอยู่ชัดๆ แต่นำหน่วยงานไปสู่ทางรอดนั้นไม่ได้ ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมานยิ่งยวดอย่างหนึ่งสำหรับคนที่มีฝีมือ แต่เปราะบางกับอุปสรรค

อยากเป็นผู้บริหารที่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้ ต้องยอมรับความยืดหยุ่น ยอมรับว่าไม่มีความสมบูรณ์แบบในโลกนี้ ความยืดหยุ่นจึงเป็นหนทางที่จะเปิดให้ผู้คนยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ถ้าเปลี่ยนทั้งหมดไม่ได้ เปลี่ยนได้สักครึ่งหนึ่ง แม้ไม่ตรงตามตำรา แม้ไม่ได้รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ก็ต้องเดินหน้าต่อไป แทนที่จะปักหลักลุยให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามตำรา หรือเปลี่ยนทุกอย่างตามที่ตนเองคาดคิดไว้ ถ้าไม่รู้จักยืดหยุ่นจะกลายเป็นผู้บริหารที่คนทำงานรอบตัวรู้สึกว่าจุกจิกเรื่องเล็กเรื่องน้อย ตำราหลายเล่มบอกว่าผู้บริหารไม่ควรทำเรื่องเล็กเรื่องน้อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ผู้บริหารไม่พูดเรื่องเล็กในที่ประชุมใหญ่ ที่เผลอพูดเรื่องเล็กอยู่เป็นประจำ จนได้ชื่อว่าผู้บริหารเรื่องจุกจิก เพราะไม่รู้จักยืดหยุ่น ถ้าเชื่อว่าทุกอย่างต้องเป็นแบบที่ฉันคิดเท่านั้น อย่ารับหน้าที่ผู้บริหาร ให้ไปสอนหนังสือ หรือไปรับหน้าที่เป็นล็อบบี้ยิสต์แทน

เพื่อให้ผู้คนมั่นใจในตัวผู้บริหารว่านำทางไปถูกต้อง สำคัญอย่างยิ่งที่คนที่จะมาเป็นผู้บริหารต้องมีหลักคิด มีกระบวนการคิดที่เป็นระบบและคงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนหลักคิดไปตามเหตุการณ์ เจอผู้ใหญ่ใช้หลักคิดแบบหนึ่ง เจอลูกน้องใช้หลักคิดอีกแบบหนึ่ง ถ้าไม่มีหลักคิดที่คงเส้นคงวา ขออย่าได้มาเป็นผู้บริหาร เพราะบริหารที่ไหน ที่นั่นจะเหมือนมอเตอร์ไซค์ซิ่งตามถนนหนทาง วิ่งซ้ายวิ่งขวามั่วไปเรื่อย คนทำงานด้วยจะลำบากมาก ขอให้ลองไปหาหน้าที่การงานที่ใหญ่โตกว่า ที่สามารถเปลี่ยนหลักคิดได้ตามใจชอบ ยิ่งกว่าการเคลื่อนที่ของปลาไหลใส่สเก็ต ท่านจะก้าวหน้าเป็นใหญ่เป็นโตยิ่งกว่ามาเป็นผู้บริหารหน่วยงานเสียอีก