อย่าให้ความหวังดี ทำร้าย "ตูน" จนก้าวไม่จบก้าว
ข่าวอาการบาดเจ็บของ “ตูน บอดี้สแลม” กำลังจะกลายเป็นหนังม้วนเก่าที่ย้อนกลับมาเล่นงานเจ้าตัวจนอาจทำให้ก้าวไม่ถึงฝั่งฝัน
จากการวิ่งในโครงการ ก้าวคนละก้าว ของ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม จากเบตง ถึงแม่สาย 2,191 กม. ที่กำลังเข้าสู่ จ.ปัตตานี เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา โดยเฟซบุ๊คแฟนเพจ อาสากู้ชีพปัตตานี ระบุถึงอาการ “ปวดหลัง” ทำให้ต้องหยุดพัก และเริ่มวิ่งใหม่ในวันรุ่งขึ้น
แน่นอนว่า อาการบาดเจ็บระหว่างการวิ่งนั้นอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ถึงแม้จะมีการฝึกซ้อม และเตรียมร่างกาย ตลอดจนมีทีมงานดูแลตลอดก็ตาม
ปัจจัยที่ถูกพูดถึงในอาการบาดเจ็บดังกล่าวหนีไม่พ้นการแวะพบปะผู้คนข้างทางที่มาคอยให้กำลังใจ ศิลปินคนโปรดของพวกเขา อย่างหลายๆ เพจในโซเชียลมีเดียต่างมองตรงกันว่า การแวะทักทาย ก้มๆ เงยๆ ถ่ายเซลฟี่ตลอดระหว่างทางวิ่งนั้นน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่อาการบาดเจ็บดังกล่าว
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อคราววิ่งระดมทุนให้กับโรงพยาบาลบางสะพานเมื่อปีก่อนนั้น หลายคนก็ได้ออกมาเตือนเรื่องการเข้าไปขอถ่ายภาพระหว่างที่ซุป'ตาร์คนดังวิ่งผ่านด้วยเหมือนกัน
เพราะการต้องหยุดวิ่งเพื่อถ่ายเซลฟี่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก
การวิ่งแล้วหยุดกะทันหันนั้นจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้!
คำอธิบายคือ ระหว่างการออกกำลังกายเส้นเลือดจะมีการสูบฉีด หัวใจเต้นเร็วขึ้น หากหยุดออกกำลังกายกะทันหันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดมากขึ้น กล้ามเนื้อไม่หดตัวเหมือนเดิม เลือดที่สูบฉีดมายังหัวใจจะน้อยลงแต่หัวใจเต้นเท่าเดิม ทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ อาจทำให้หมดสติได้ หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อ่านต่อ : หยุดออกกำลังกายกะทันหันอันตรายถึงตาย!
หรืออย่างอาการปวดหลังที่ร็อคสตาร์นักวิ่งกำลังเผชิญในตอนนี้ คำอธิบายทางการแพทย์ก็ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า
...กล้ามเนื้อบริเวณหลังระดับบั้นเอวมีการอักเสบเกิดขึ้น อาจเกิดจากการใช้หลังในท่าที่ก้มๆ เงยๆ บ่อยๆ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลังระดับบั้นเอวนั้นถูกดึงรั้ง หรือยืดออกมากไป จนเกิดการฉีกขาดของใยกล้ามเนื้อบางส่วนจนทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ มีอาการปวดหลัง กล้ามเนื้อหลังมีการหดตัว และเกร็งจนบางครั้งเราเรียกว่า “หลังแข็ง”
นอกจากนี้ หากพูดถึงอาการเจ็บจากการวิ่งสามารถแบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ คือ เจ็บแบบเฉียบพลัน เช่น ข้อเท้าพลิก และเจ็บแบบสะสม เช่นอาการปวดเข่า ปวดข้อเท้า ฯลฯ
โดยกลุ่มอาการเหล่านี้ก็มักจะนำไปสู่อาการสะสมบาดเจ็บจนถึง บาดเจ็บเรื้อรัง เนื่องมาจาก นักวิ่งกลัวการหยุดวิ่ง ไม่หายดีแล้วก็ไปซ้ำ อาการปวดที่เกิดขึ้นมักไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ถูกวิธี เลยไม่หายสักที
อ่านต่อ : วิ่งสุดขั้วตัวไม่เจ็บ
อาการบาดเจ็บแรกในการวิ่งครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ดี สำหรับทุกคนที่ปรารถนาดี และอยากมีส่วนร่วมเพื่อให้โครงการนี้สำเร็จลุ่ล่วงไปด้วยดี
ดังนั้น การให้กำลังใจ ตลอดจนการเข้าไปใกล้ชิด ฮีโร่ในดวงใจของคนไทยส่วนใหญ่ในเวลานี้นั้น อาจจะต้องศึกษาข้อมูลในการมีส่วนร่วมสักเล็กน้อย
อย่างน้อยที่สุดก็ควรเข้าใจว่า การที่นักวิ่งระยะ (โคตร)ไกล กลุ่มนี้ไม่สามารถหยุด หรือแวะทักทายได้เต็มที่
เพราะสภาพร่างกายของนักกีฬาที่มีกระบวนการ และขั้นตอนของตัวเองอยู่ อีกทั้งมีเรื่องของแผนการวิ่งในแต่ละวันที่พวกเขาต้องทำให้ได้เพื่อจะได้จบโครงการตามระยะเวลาที่กำหนด
แน่นอนว่า ถึงพี่ตูนจะวิ่งผ่านหน้าเราไปโดยไม่ทันได้หันมาทักทายแต่ทุกเสียงเชียร์ที่ตะโกน ทุกสัมผัสมือที่แตะผ่าน จะสามารถสื่อสาร และส่งพลังให้ทุกก้าวของเขาผ่านไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
จนถึงวันนั้น มันจะกลายเป็นก้าวคนละก้าวที่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้อย่างแท้จริง
-
คำแนะนำถ้าอยาก "ก้าวคนละก้าว"
- ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ อย่าให้นักกีฬาหยุดทักทายเยอะ เพราะจะส่งผลเสียต่อตัวนักกีฬาเอง
- เข้าใจว่าหวังดี แต่ก็ต้องเข้าใจว่าหนทางของพี่เขาก็ยังอีกยาวไกล มีความเสี่ยง และความท้าทายรออยู่อีกมาก
- ถ่ายภาพได้ แต่อย่าเข้าไปขอเซลฟี่ อยากรู้เพราะอะไรช่วยย้อนกลับไปอ่านบทความข้างต้น
- ถ้าอยากร่วมวิ่ง (ไม่ว่าระยะไหนก็ตาม) ความเตรียมตัวให้พร้อม อาทิ ซ้อม ประเมินร่างกายตัวเองถึงระยะที่วิ่งไหว และไม่บาดเจ็บ ที่สำคัญต้องเข้าใจข้อจำกัดของการร่วมวิ่งในครั้งนี้อาจไม่สะดวก และไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
- ถ้าอยากอัพเดทความคืบหน้า อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.kaokonlakao.com