อิตาเลี่ยนโฉมใหม่ ที่ เมดิซี่คิทเช่น แอนด์ บาร์

อิตาเลี่ยนโฉมใหม่ ที่ เมดิซี่คิทเช่น แอนด์ บาร์

ห้องอาหารเมดิซี่ ปรับโฉมใหม่ เปลี่ยนแนวจากอาหารอิตาเลี่ยนดั้งเดิม เป็นอิตาเลี่ยนร่วมสมัย เพิ่มสไตล์อาหารเมดิเตอร์เรเนียน อิตาลี+ฝรั่งเศส ฝีมือเชฟ เชฟบาร์ธ ไซวินสกี้ (Chef Bart Cywinski)

วันนี้หมูหวานขอลี้ไปทานอาหารอร่อยฝีมือเชฟหนุ่มรูปหล่อ นาม เชฟบาร์ธ ไซวินสกี้ (Chef Bart Cywinski) Executive Chef ที่ เมดิซี่ คิทเช่น แอนด์ บาร์ (Medici Kitchen & Bar)โรงแรมโฮเทล มิวส์ แบ็งค็อก หลังสวน ภายใต้บรรยากาศแบบใต้ดินในยุโรปเมืองหนาว ทำให้รู้สึกราวกับว่าเรากำลังหนีหนาว ข้างนอกมีหิมะตกหนักลงไปหาความอบอุ่นที่ห้องใต้ดิน จิบน้ำชา กาแฟ ร้อนๆ ขนมปังอุ่นๆ รอเชฟปรุงอาหารที่หน้าเตา ซึ่งเป็นครัวเปิดสามารถมองเห็นการทำงานของทีมเชฟอย่างเพลิดเพลิน

4

3

                เมนูเรียกน้ำย่อยเริ่มจาก Crab Cannelloni (690 บาท) ข้างในมีเนื้อปูปรุงมาแล้วอย่างดีห่อด้วยเจลาตินทำจากซุปใสมะเขือเทศ ทำเป็นแผ่นเจลบางๆ แบนๆ ห่อหุ้มเนื้อปูเอาไว้ แล้วร่อนผงของมะเขือเทศลงไปทำให้เราเผลอคิดว่าเป็นก้ามปู จากนั้นท้อปปิ้งด้วยคาร์เวีย แต่งจานด้วยซอสหมึกดำ และดอกไม้ทานได้สีสันสวยงามราวกับสวนดอกไม้ เวลารับประทานให้ทานพร้อมๆกัน ส่วนผสมทุกอย่างรวมกันในปากทำให้รสชาติอร่อยลงตัวดีมาก

6

จานหลักก็คือ Happy Pig in the Garden (590 บาท) มีเรื่องเล่าว่าสมัยที่เชฟยังเด็ก เขาเล่นกับลูกหมูในฟาร์มบ้านลุง แล้วลูกหมูหลุดวิ่งออกไปตรงแปลงผักที่ปลูกไว้ มีทั้งพืชผักสมุนไพร แครอท ฯลฯ ลูกหมูรื้อแปลงออกมากัดกินกระจุยกระจาย เละเทะไปหมด อิ่มแล้วลูกหมูก็นอนผึ่งพุงยิ้มอย่างมีความสุข ส่วน “ดช.บาร์ธ” ก็โดนทำโทษซิคะ เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่เขาปรุงจานนี้ก็จะนึกถึงลูกหมูตัวนั้น ปรุงไปยิ้มไปมีความสุขมาก ส่งผลให้จานนี้อร่อยเป็นพิเศษกระมัง

5

เชฟนำสันในหมู(หมักกับสมุนไพรต่างๆเช่นกระเทียมพริกไทยต้นหอมข้ามคืน) แล้วนำไปซูวี 63.5 องศา ประมาณ 5 ชั่วโมง จากนั้นปรุงรส ทอดในกระทะพอให้กรอบนอกนุ่มใน ส่วน หมูสามชั้น เชฟปรุงเกลือพริกไทย แล้วนำไปซูวีที่ 70 องศา 10 ชั่วโมงให้เนื้อนุ่มละลายในปาก จากนั้นนำหมูทั้งสองมาใส่หม้อที่มีฟางข้าว(อิมพอร์ตจากเมืองนอก) โรสแมรี่ กระเทียมย่าง แล้วจุดไฟที่ฟางข้าว ปิดฝาอบให้เนื้อหมูหอมกรุ่นกลิ่นควันไฟ ก่อนนำมาแต่งจานเสิร์ฟ เชฟว่าช่วงซัมเมอร์ในยุโรป ผู้คนจะออกมาตั้งแคมป์ทำบาร์บิคิวกัน กลิ่นจะหอมฟุ้งประมาณนี้เลย จานนี้เสิร์ฟกับ Baby Potato แครอท ต้นหอม เปลือกส้ม ราดน้ำเกรวี่ มีซอสแครอทกับขมิ้นในจานอีกด้วย

7

จานถัดไป Andaman Sea Bass เชฟนำปลากระพงอันดามันของไทยไปซูวี 10 นาที แล้วทอดพอหนังกรอบ ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย เสิร์ฟกับเครื่องเคียง คือซูกินี่บด (ต้มยีให้ละเอียดใส่เกลือกับเนย) พาสต้าฟาร์ฟาเล่ (ลักษณะเหมือนโบว์)โฮมเมดทำเองสดใหม่ทุกวัน เสิร์ฟพร้อมกับซอสหอยตลับ โดยนำเนื้อหอยมาผัดกับซอสไวน์ขาวใส่กระเทียม Leek(ต้นกระเทียมยักษ์) ครีม เนย  เคปเปอร์ มะเขือเทศ มะกอกดำ เคปเปอร์ กระเทียม มะเขือเทศแห้ง แอนโชวี่สับปรุงรส  สลัดแตงกวาญี่ปุ่นหั่นสไลซ์บางๆ คลุกกับเลมอนเดรสซิ่งและดิว(ผักชีลาว) รับประทานทุกอย่างพร้อมๆกัน ทำให้รสชาติกลมกล่อมเข้ากันได้ดี

8

9

                ประทับใจจานสุดท้าย Vanilla Panna Cotta (410 บาท) พานาคอตต้าของเชฟมีการสอดแทรกสตรอเบอร์รี่เข้าไปในรูปแบบต่างๆ ทั้งสตรอเบอร์รี่สด เจลลี่สตรอเบอร์รี่ นำสตรอเบอร์รี่มาทำเป็นเส้นสปาเก็ตตี ทำเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ เคลือบพานาคอตต้า เมื่อทานแล้วละลายในปาก เป็นขนมหวานที่ไม่ค่อยหวาน ถูกใจหมูหวานยิ่งนัก

11

                กล่าวถึงเชฟบาร์ธ เขาเติบโตมากับตำราอาหารของตระกูลที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นกว่า 150 ปี จึงหลงใหลการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ทำงานในโรงแรมดังมาแล้วทั่วโลกทั้งยุโรปและเอเซีย ล่าสุดก่อนมาเมืองไทยทำงานที่”จาน” ร้านอาหารมิชลินสตาร์ ประเทศสิงคโปร์ เชฟคนนี้เน้นความสำคัญของวัตถุดิบ สดใหม่ จากท้องถิ่น ต้องปลูกแบบธรรมชาติ ปลอดสารพิษ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทานอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด นี่คือเจตนารมย์ของเชฟ

12

                ส่วนห้องอาหารเมดิซี่ปัจจุบันได้ปรับรูปแบบให้ทันสมัยมากขึ้น เน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เปลี่ยนแนวจากอาหารอิตาเลี่ยนดั้งเดิม เป็นอิตาเลี่ยนร่วมสมัย เพิ่มสไตล์อาหารเมดิเตอร์เรเนียน อิตาลี+ฝรั่งเศส อะไรประมาณนี้ สนใจไปชิมกันได้