ละครที่ไม่ใช้"ตา"ดู

ละครที่ไม่ใช้"ตา"ดู

ลองปิดตา แล้วใช้ประสาทสัมผัสที่เหลือ ค้นหาบางอย่างรอบๆ ตัว

 

 

ถ้าหลับตา...แล้วคุณมองเห็นอะไรบ้าง

คนกลุ่มเล็กๆ ที่เรียกตัวเองว่า The Blind Theatre Thailand บอกว่า “ไม่มีหรอกความมืด มีแต่แสงสว่างที่เป็นสีดำ

เมื่อคนตาดีและคนตาบอดเห็น...เหมือนกัน คนตาดีก็จะเปิดใจ ใช้สัมผัสที่เหลือเต็มที่ และนั่นทำให้นึกถึงความลับที่สุนัขจิ้งจอกบอกเจ้าชายน้อยในวรรณกรรมฝรั่งเศสว่า 

    "เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น

      สิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยดวงตา”

.....................

The Blind Theatre Thailand เป็นแหล่งรวมศิลปะหลายแขนงระหว่างคนตาดีและคนตาบอด ตั้งขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดย หลุยส์-กฤษณ์ สงวนปิยะพันธ์ ครูสอนละครโรงเรียนทางเลือกไตรพัฒน์ แนววอลดอร์ฟ และเพื่อนๆ ที่รักงานศิลปะ พวกเขาตั้งใจว่า จะทำในลักษณะธุรกิจเพื่อสังคม

หลุยส์ ตั้งใจว่าจะทำละครเวทีและศิลปะแขนงอื่นๆ ให้เป็นอาชีพที่มั่นคง จึงเพียรพยายามค้นหารูปแบบและวิธีการในแบบของเขา ประจวบเหมาะที่เขาได้รู้จักกับ ทอฟฟี่-โสภณ ทับกลอง ชายหนุ่มที่มีความพิการทางสายตาตั้งแต่เด็ก 

“6 ปีที่แล้ว ผมไปสอนการบ้านคนตาบอด ผมได้รู้จักทอฟฟี่  เขาเรียนด้านรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ผมสงสัยว่า ทำไมคนตาบอดเช่นเขาต้องเรียนรัฐศาสตร์ เขาก็บอกว่า เขาเห็นความไม่เท่าเทียมกันของรุ่นน้องที่เป็นคนตาบอดในสังคม อยากช่วยแก้ปัญหา

ผมฟังแล้วก็ตกใจ เพราะคนตาดีอย่างผมมีเครื่องมือที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมมากมาย ทั้งเรื่องละครเวที เพลง การทำอาหารคลีน แต่เขาคิดว่า ต้องมีอำนาจถึงจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่แน่ใจว่า เรียนจบแล้ว เขาจะมีอำนาจตรงนั้นหรือเปล่า”

 นั่นทำให้เขาและเพื่อนๆ อยากทำงานศิลปะร่วมกับคนตาบอด...

  20180606203619293 (1)

หลุยส์และทอฟฟี่

-1-

เมื่อไม่มีหลักสูตรศิลปะการแสดงที่สอนให้คนตาดีและคนตาบอดทำการแสดงร่วมกัน หลุยส์และเพื่อนๆ จึงต้องค้นหารูปแบบที่จะสื่อสารกับคนดู

“ตอนผมเรียนด้านละคร ผมพบว่าไม่มีรุ่นพี่คนไหนจบไปแล้ว มีอาชีพเป็นนักแสดงละครเวที ผมคิดว่าผมจะทำให้ได้ ผมและเพื่อนๆ มีกลุ่มละครใบ้ นักเต้น มารวมกันทำเวิร์คชอป แรกๆ ก็ให้คนตาดีเข้าไปอยู่ในโลกมืด ปรากฎว่าล้มเหลว ตอนนั้นผมไม่ทำงานอื่น ผมพยายามคิดหาวิธี จนผมพัฒนารูปแบบมาจากละครวิทยุ ”

ส่วนเส้นทางที่ ทอฟฟี่ เวียนมารู้จักกับนักแสดงตาดี เขา บอกว่า ถ้าคนตาบอดอยากเข้าไปเรียนละคร จะไม่มีหนทางที่จะเข้าไปในพื้นที่ที่มีการสอนละครได้เลย แต่พื้นที่ตรงนี้ทำให้เรามีโอกาส

“เรื่องแรกผมเล่นเป็นต้นไม้ แม้จะเป็นบทเล็กๆ แต่เป็นก้าวแรกของเรา และก้าวที่ดี”

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ละครเรื่องแรกที่คนตาบอดและคนตาดีแสดงร่วมกัน ก็คือ เรื่องเล่าจากหิ้งห้อย จะนำมาเปิดแสดงอีกครั้งปลายปีนี้

หลุยส์ ใช้รูปแบบการแสดงและการชมแบบใหม่ ย้ายคนดูที่ปิดตามาอยู่บนเวที เหมือนคนดูอยู่ในเหตุการณ์จริง มีตัวละครหลักพูดและเดินไปรอบๆ คนดูก็จะได้สัมผัสนักแสดงจากเสียงของตัวละครเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า สามารถรับรู้กลิ่นของความลึกลับที่ซ่อนอยู่ และรสชาติที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผ่านเรื่องราวในละคร

“ปรากฎว่าเปิดแสดงแล้ว มีคนชอบ  มีคนวัยเกือบ 80 มาดู แล้วบอกว่า ไปดูละครมารอบโลกไม่เคยเจอละครแบบนี้ ตื่นเต้นมาก” หลุยส์ เล่าถึงการแสดงที่ให้ประสบการณ์ใหม่แก่คนดู 

IMG_4423

ปิดตาดูละคร

-2-

หากจะชมละครกลุ่มนี้ ต้องปิดตาแล้วเปิดใจ และเชื่อว่า การมองเห็นไม่ใช่ทุกสิ่ง คนดูต้องใช้จินตนาการ รับฟัง รับรู้ ด้วยประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆ และทำให้มีสมาธิมากกว่าการชมละครทั่วไป

“ตอนดูละครเรื่องนี้ แม้มองไม่เห็น แต่สามารถรับรู้ได้ โดยประสาทส่วนที่เหลือ คือหู ฟังเสียงขับร้องที่เพราะมาก โชคดีที่นั่งติดกับแถวนักร้องคอรัส และเป็นตำแหน่งที่นักแสดงเปล่งเสียงตะโกน เสียงลมพัด ใบไม้ จมูกก็ได้กลิ่นหมูปิ้ง ยาดอง และรับรู้จินตนาการตามการเล่าเรื่อง ผลคือ ซึ้งจนน้ำตาไหลย้อย จมูกตัน” คนดูที่เคยสัมผัสละครเรื่องเล่าจากหิ้งห้อย เล่า และอีกคนโพสต์ไว้ว่า

“ฉากบนรถไฟที่เค้าวิ่งหนีกัน แล้วบอกว่าให้หนีๆๆ หนูคิดในใจว่า แล้วหนูต้องลุกหนีรึเปล่า....”

หลุยส์ เล่าต่อว่า แม้ละครจะประสบความสำเร็จได้เงินเยอะ คนดูเต็มทุกรอบ จนต้องเพิ่มรอบ ตอบโจทย์ชีวิตได้ แต่น้องในทีมบอกว่าไม่โอเค เพราะข้อตกลงที่คุยกันไว้ตอนแรกว่า คนตาบอดและคนตาดีจะทำงานร่วมกัน 

“ตอนนั้นทอฟฟี่ รับบทเป็นหินหรือต้นไม้อยู่กับที่ กลายเป็นว่า คนตาบอดเป็นแค่ส่วนประกอบ เราก็เลยหยุดทำเป็นปี เพื่อค้นหารูปแบบใหม่ เพราะตอนนั้นเราคิดว่า เราเป็นแกะดำที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคม อยากทำ เพื่อแก้ปัญหาให้คนตาบอด คนไร้บ้าน หรือเพื่อความเท่าเทียม ”

เมื่อไม่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงกับเป้าหมายที่วางไว้ หลุยส์ เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ประกาศขอความร่วมมือจากคนทำงานศิลปะหลากหลายแขนง

จากจุดนั้น ทอฟฟี่ เล่าว่า หากมองย้อนไปสามสี่ปีที่แล้ว ตอนที่เขารับบทเป็นต้นไม้ เพราะความสามารถยังไม่ถึง 

"ผมได้เพิ่มทักษะอื่นๆ อย่างการเต้น ทำให้ผมได้รู้จักร่างกายตัวเอง จนได้มาเรียนรู้เรื่องการสัมผัสกลิ่น และการฟัง”

IMG_4414

-3-

จากละครเรื่องแรก เมื่อคนตาบอดเป็นแค่ส่วนประกอบของคนตาดี พวกเขาก็เลยต้องกลับมาหารูปแบบใหม่ โดยนำศิลปะแขนงอื่นๆ มาเวิร์คชอปเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

“ยกตัวอย่าง คนตาบอดมองไม่เห็นสี ไม่รู้จะระบายสียังไง คนก็บอกว่าให้ระบายสีกำแพงสิ เราก็เอาเรื่องกลิ่นเข้ามาอยู่ในสี หาอาสาสมัครเนักศิลปะบำบัดมาช่วยออกแบบ จนคนตาบอดรู้สึกสนุกและรับรู้สีในอีกมิติหนึ่ง ก็สามารถทำงานวาดภาพและปั้นร่วมกันได้ ” หลุยส์ กล่าวถึงศิลปะแขนงอื่นที่ร่วมกันทำระหว่างคนตาบอดและคนตาดี

“ปีแรกๆ พวกเรายังพูดถึงเรื่องตาบอดหรือไม่บอด แต่วันนี้เราพูดถึงศิลปะแขนงอื่นๆ ด้วย ยกตัวอย่างการนำกลิ่นมาสร้างงานศิลปะ อย่างผมจะทำละครเรื่องหนึ่งที่ใช้กลิ่น และไม่ได้อยู่แค่ในอาหาร อย่าง The note เป็นเวิร์คชอปเรื่อง กลิ่นและสี มีผู้เชี่ยวชาญด้านกลิ่นและสี ผู้สนใจทั้งคนตาบอดและตาดีมาร่วมกัน 40 คน มีการนำกลิ่นมาใช้กับการเต้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ”

จนในที่สุดทั้งคนตาดีและคนตาบอดร่วมกันนำเสนอละครอีกเรื่อง The Echo เสียงก้องในห้องมืด โดยครั้งนี้คนตาบอดไม่ได้เป็นแค่ส่วนประกอบ จากที่ทอฟฟี่เคยเป็นต้นไม้ การเรียนรู้ที่ผ่านมา ทำให้เขาพัฒนามารับบทพระเอกในละครสยองขวัญในความมืด โดยนางเอกของเรื่อง ประสบอุบัติเหตุ มีปัญหาสมอง มองไม่เห็น ส่วนทอฟฟี่ที่เป็นแฟนนางเอกก็ต้องคอยช่วยเหลือ

“ตอนแรกเราตั้งใจให้ทอฟฟี่เดินด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายต้องมีคนจูง คู่ขนานไปกับความจริง เรื่องนี้มีฉากดิสนีย์แลนด์ ฮ่องกง ซึ่งผมต้องจำลองบรรยากาศมาอยู่ในโรงละคร ในขณะที่คนดูทุกคนปิดตา แต่พวกเขาต้องเห็นขบวนพาเหรด เราต้องสร้างภาพในหัวคนดูให้สมจริงที่สุด อย่างฉากรถไฟเหาะ เราก็ต้องให้คนดูรู้สึกไปด้วย เหมือนนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์สี่มิติ เก้าอี้เอนขึ้นเอนลง ซึ่งคนดูไม่คาดหวังว่าจะเจอสิ่งเหล่านี้ในงานศิลปะ” หลุยส์ เล่า      

ส่วนทอฟฟี่ เล่าต่อว่า เมื่อไม่นานนี้ เขามีโอกาสแสดงละครใบ้เป็นครั้งแรก ทำให้รู้สึกว่า มีพัฒนาการไปอีกขั้น 

"ผมอยากให้คนยอมรับคนตาบอดที่เป็นนักแสดง เป็นทางเลือกให้ตัวผมและน้องๆ ตาบอดต่อไปในอนาคต”

ปลายปีนี้ พวกเขาจะเชิญชวนคนในสังคมมาทำงานศิลปะร่วมกับคนตาบอด ทั้งเวิร์คชอป ทอล์คสร้างแรงบันดาลใจ เต้น ปั้น วาดรูป และละคร

“สิ่งที่เราทำอยู่ คือ เรากำลังทำเรื่องการศึกษา ความเท่าเทียม และวัฒนธรรม เราก็อยากได้เงินสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในปีแรกๆ และปีต่อไปผมไม่ต้องการแล้ว องค์กรที่ผมทำต้องพึ่งตัวเองได้ เพราะตอนนี้ผมเปิดให้คนมาเรียนรู้เฉพาะวันเสาร์ แต่ผมอยากเปิดทุกวัน ผมอยากทำศิลปะเพื่อสังคม โดยเฉพาะคนขาดโอกาส ผมโดนปลูกฝังว่า ศิลปะเป็นสิ่งที่ดีงามและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่วันนี้คุณไปดูแกลลอรี่หรือโรงละคร คนชั้นกลางเท่านั้นที่อยู่ตรงนั้น”

และโชคดีที่เจ้าของบีบีเฮ้าส์ สี่แยกคลองตัน ช่วยแบ่งพื้นที่ในโรงแรมเล็กๆ ให้พวกเขาทำเวิร์คชอปงานศิลปะและซ้อมละคร และยังให้เงินเดือนทอฟฟี่ นักแสดงตาบอดด้วย

หมายเหตุ : ดูรายละเอียดที่เพจ The  Blind Theatre Thailand

"""""""""""""""""""""""""""""""

บันทึกของทอฟฟี่ (นักแสดงที่มองไม่เห็น )

*เรื่องกลิ่นและสี

"ผมไม่สามารถจินตนาการอะไรจากน้ำที่เรียกว่าสี ถึงแม้จะมีความงดงามของเฉดสี แต่สำหรับผม มันก็คือน้ำเปล่า ที่ผมไม่เคยรู้สึกอะไรกับมันเลย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป  กระบวนการของกลิ่น มีเป็นพันเป็นหมื่นกลิ่นในโลกนี้ 

สองอย่างนี้มันกำลังทำงานควบคู่กัน กลิ่นของแป้งเด็กอาจจะเหมือนกับสีขาวบริสุทธิ์ที่หอมและดูสะอาด กลิ่นของลูกอมรสผลไม้แทนสีเหลืองที่มีความสดใสในวัยเด็ก สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นกับผม 

ภาพท้องฟ้าที่ผมอาจจะลืมไปแล้ว ภาพเหล่านั้น มันกำลังกลับมาอีกครั้ง..  

แล้วคนตาบอดคนอื่นๆ ที่เค้าอยากมีภาพในความรู้สึก อยากจะมีพื้นที่ในจินตนาการและในฝัน สีที่ถูกปรุงแต่งในความรู้สึกของเขา จากคนที่ไม่เคยเห็น จากคนที่รู้สึกกลัวในการเห็น ศิลปะของกลิ่น มันกำลังแต้มสีให้กับโลกใบใหม่ของเราอยู่ ผมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ 

ผมรู้สึกว่า ผมจะได้เห็นสีอะไรอีกบ้างนะ สีที่ผมเคยเห็นและสีที่ผมไม่เคยเห็น ภาพของโลกใบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งที่ผมเรียกว่าสี สิ่งที่เป็นความงามที่ผมคิดว่าตลอดชีวิตนี้ผมจะลืมมันไปแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้ว จมูกของผมยังได้กลิ่นของความรู้สึก

...................

*เรื่องความกลัว

สำหรับคนมองไม่เห็นแบบผม การเดินทางในแต่ละวัน มันเหมือนการผจญภัยเล็กๆ ผมไม่สามารถรู้ หรือ คาดเดาอะไรได้เลยว่า วันนี้ผมจะเจออะไรบ้าง จะเจอผู้คนแบบไหน จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นยังไง? 

วิธีแก้ง่ายที่สุด ก็คือ ผมจะรอคนเข้ามาช่วย หรือทักผมก่อนเสมอ บางทีผมก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวไปไหน มันอาจจะเป็นเพราะความกลัว 

แม้วันหนึ่งอาจจะมีเครื่องมืออะไรสักอย่างที่ทำให้คนตาบอดสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น แต่สุดท้ายตัวเราเองก็ต้องพัฒนาก่อนเทคโนโลยี  เริ่มจากการสร้างพื้นฐานจิตใจที่แข็งแรง

หลายๆ ครั้งผมเลือกจะไปที่สถานที่แปลกๆ ผมจะไปที่นั่นประมาณ 2-3 ครั้ง ครั้งแรกผมต้องไป เพื่อให้ตัวเองกลัว 

การกลัวของผมมันจะทำให้ผมมีสมาธิ แล้วทำให้ผมสังเกต ละเอียดกับความรู้สึกและสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ผมสามารถสัมผัสได้ 

ครั้งที่ 2-3 ถ้าผมได้ไปที่นั่น ผมต้องแน่ใจว่า ความกลัวของผมจะลดน้อยลง ผมเลือกทำแบบนี้หลายครั้ง  มันเป็นวิธีที่ทำให้ผมก้าวผ่านความรู้สึกบางอย่างไปได้..

 

.............