บางช่วงตอนของคนธรรมดาๆ ที่พบคุณค่าในตัวเอง เพียงรู้จักการถอยเพื่อเดินต่อไปข้างหน้า
ในแวดวงสถาปัตย์ หนุ่ย- รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง เขาเป็นสถาปนิกมือรางวัลทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ มีลูกค้าหลายระดับในนามบริษัทสถาปนิกโอเพนบอกซ์ ซึ่งเขาและภรรยาเป็นผู้ก่อตั้ง
หากในมุมมองชีวิตของคนๆ หนึ่ง มันอาจฟังธรรมดาๆในตอนแรก แต่พอตั้งใจฟังไปสักระยะก็จะพบความน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่มุ่งมั่นเดินทางในสายออกแบบเมื่อครั้งเอ็นทรานซ์เข้าคณะสถาปัตยกรรม เป็นสถาปนิกที่ประเทศสิงคโปร์ กลับมาเปิดบริษัทของตัวเองแล้วทำงานหนักเพื่อเป้าหมายความสำเร็จ แต่กลับพบจุดเปลี่ยนทางความคิด อยากหลีกหนีชีวิตเมือง ไปขอใช้ชีวิตช้าๆ ทำการเกษตรแบบที่ใครต่อใครใฝ่ฝัน
“ตอนนั้นผมมีที่แล้วนะอยู่ในจังหวัดสกลนครบ้านเกิด เราเบื่อชีวิตกรุงเทพ เบื่อกับการต้องเจอคนที่พร้อมจะเอาเปรียบเรา เจอคนโกงเช็ค เจอลูกค้าที่ไม่ดี รู้สึกว่าชีวิตของการเป็นสถาปนิกมันไม่สนุกแล้ว จึงค่อยๆวางแผนที่จะดาวน์ไซส์ (Downsize) บริษัทให้เล็กลงเรื่อยๆ เหลือเฉพาะงานที่ยังต้องทำตามสัญญา คิดว่าจะทำให้เสร็จแล้วค่อยหยุด ตั้งใจจะไปใช้ชีวิตเกษตกรในต่างจังหวัด ปลูกต้นไม้ คิดว่ามันจะต้องมีความสุขแน่ๆเลย แต่พอไปอยู่จริงๆ มันกลับไม่ใช่นะ มันมีคำถามกับตัวเองตลอดว่าเราชอบแบบนี้จริงๆหรือ มีวันหนึ่งเรานั่งมองมือตัวเอง มองมือตัวเองที่พองหลังจากจับเสียมขุดดินมาทั้งวัน แสงอาทิตย์ก็ค่อยๆโพล้เพล้แล้ว น้ำตาก็ค่อยๆไหล” เขาเล่าถึงชีวิตช่วงหนึ่ง
ถ้าเราคุ้นชินกับพล็อตเรื่องเซเลบริตี้หนีความวุ่ยวายไปใช้ชีวิตทางเลือก หรือไม่ก็เป็นแบดบอยที่กลับตัวกลับใจใช้ชีวิตอีกด้านจนได้ดี Life Code สัปดาห์นี้ลองมาฟังมุมมองจากคนที่ออกตัวว่าเป็นคนธรรมดา ที่ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับตัวเองจากการลองผิดลองถูก กล้าถอยยอมรับความผิดพลาดเพื่อขอเริ่มต้นใหม่
สถาปนิกที่มุ่งมั่น
ผมเป็นคนจังหวัดสกลนครแต่ด้วยความพยายามของคุณแม่ จึงได้ไปเรียนไฮสคูลที่ประเทศแคนาดา กลับมาสอบเข้าและจบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาฯ ทันทีที่เรียนจบอาจารย์ทาบทามให้สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นออกไปทำงานที่สิงคโปร์ตามคำชวนของเจ้าของบริษัทสถาปนิก
ชีวิตของผมในช่วงนั้นถือว่ามีความสุขระดับหนึ่งเลย ผมโชคดีที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร รู้ว่าตัวเองชอบวาดรูป หลายๆคนชื่นชมในความสามารถ ทั้งอาจารย์ เพื่อนร่วมงาน อยู่ในเส้นทางของการเป็นสถาปนิกตลอด ตอนอยู่สิงคโปร์จำได้ว่าทำงานเยอะมาก เรียนรู้วิธีการทำงานใหม่ๆจากยอดฝีมือที่นั่น มันเป็นการทำงานที่มีทั้งความเร่งความเร็ว การแข่งขัน ความทรงจำที่จำได้ตลอดคือเรานั่งทำงานทั้งคืน จนเริ่มเห็นแสงสว่าง ก็นั่งแท็กซี่ไปอาบน้ำ แล้วกลับมานั่งทำงานใหม่โดยที่คนอื่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรายังไม่หยุดเลย หรือสุดสัปดาห์ก็จะหาที่นั่งดื่ม หาอะไรอร่อยๆกินใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง ผมเคยตื่นขึ้นมาในตู้โทรศัพท์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แต่โชคดีที่สิงคโปร์เป็นเมืองที่ค่อนข้างปลอดภัยผมจึงไม่ได้รับอันตราย
ในตอนนั้นเราคิดว่าเราใช้ชีวิตคุ้มค่ามากนะ ผมเคยแชร์ความคิดกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทุกคนมักคิดว่าการทำงานหนักคือสิ่งดี อาจเป็นเพราะเรามีความคิดผิดๆ รู้สึกว่าการทำงานมันต้องโดนทรมานสักนิดหนึ่ง เราแข่งกันทำงานหนัก แข่งกันลำบาก ใครดูลำบากกว่า ทำงานหนักกว่าคนนั้นจะเจ๋ง และก็รู้สึกเอ็นจอยกับสิ่งนั้น เราบ่นกับการทำงานหนักของตัวเอง แต่อีกใจก็รู้สึกมีความสุข รู้สึกฟินลึกๆที่ได้ทำงาน อยู่องค์กรดังๆ พอๆกับกลัวที่เราการกระโดดไปข้างนอก ไม่กล้าที่จะไปไหน เลยยึดการทำงานและตำแหน่งตรงนั้นไว้แล้วคิดว่ามันคือความสุขของชีวิต
ตอนนั้นรุ่นพี่ก็เตือนนะ บอกว่าคุณทำแบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าคุณทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง วันหนึ่งพลังงานคุณก็จะหมด ชีวิตก็จะแห้งเหี่ยว เราเห็นคนอื่นเป็นแบบนั้นก็ยังไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับเรา เราเห็นหลายคนออกจากงานไปเปิดร้านกาแฟ ไปขายของ ไปทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพตัวเองเลย เราคิดว่าเราไม่มีทางเป็นหรอก การงานเรายังดี ได้รับความก้าวหน้า ได้รับการโปรโมตเลื่อตำแหน่งจะเป็นไปได้อย่างไร
จับจอบไปออกแบบ
พอกลับมาไทย ผมเปิดบริษัทของตัวเอง ในปีแรกๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่ก็ได้รับการบอกปากต่อปาก จนได้ทำงานที่ทำให้มีชื่อเสียงคือ งานออกแบบ เพลินวาน หัวหิน ทำให้เกิดกระแส Theme Community Mall เกิดขึ้นในเมืองไทย จึงทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น มีงานจนล้นมือ จนปล่อยตัวทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสำเร็จของงาน
ทำไปสักพักผมรู้สึกว่ามันไม่สนุกแล้ว ไม่อยากเขียนแบบ ไม่อยากทำงาน ผมรู้สึกหมดพลังกับการทำงาน รู้สึกไม่อยากไปเจอลูกค้า เบื่อกับการต่อรองทางธุรกิจ เบื่อกับการโดนโกง จึงตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ไปเตรียมที่ทางไว้ ลดขนาดของบริษัทลง แล้วถ้าทุกอย่างพร้อมจะไปเป็นเกษตรกร ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับบ้านเล็กๆ ในสวนที่ตัวเองมี ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่ใครๆมุ่งหมายกัน แล้วสุดท้ายผมก็ได้ทำจริง ช่วงท้ายๆ ของการทำงานออฟฟิศ ผมทำให้บริษัทเล็กลง จากที่มีพนักงานราว 15-16 คน ก็ลดเหลือไม่กี่คน อยู่ดูแลงานที่มีให้จบ วันเสาร์อาทิตย์ผมก็ไปดูไร่ เอาจอบ เอาเสียมไป กะว่าจะปลูกต้นไม้ ปลูกผัก เลี้ยงไก่ไว้เอาไข่ กินอยู่ง่ายๆ คิดว่าถ้าออกจากงานเมื่อไรเราจะมีความสุขแน่ๆ
แต่พอเอาเข้าจริงๆ ยิ่งเข้าใกล้ความต้องการมากขึ้น เรากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น พอได้มาอยู่เงียบๆ ได้มาทำการเกษตรเต็มๆวัน ก็รู้เลยว่า ร่างกายเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทำงานแบบนี้ ขุดดินไม่เท่าไรมือก็พอง ปลูกต้นไม้ ปลูกผัก ก็ตาย ฮึดทำงานวันนี้พอวันพรุ่งนี้ก็ปวดเมื่อยทนไม่ไหว แต่ก็ทนอยู่ได้ ไปๆ มาๆ คิดว่าจะสร้างบ้านบนที่แห่งนี้ถาวร แล้วก็มีคำถามในหัวเสมอว่า “มันใช่เหรอ เราจะเอาแบบนี้จริงๆเหรอ”
จริงๆเราถามตัวเองตลอดนะ เราก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ในใจเราตะโกนว่ามันไม่ใช่ตลอด แต่ก็พยายามทำให้ได้ คิดว่าชีวิตต้องเดินหน้า แต่วันนั้นมันก็ไม่มีความสุขเท่าไร มันกลับมาย้อนถามว่า ไอ้สิ่งที่เราเคยรักสมัยเด็ก เคยวาดรูปเล่น แล้วมีความสุขมันอยู่ตรงไหน เราลืมไปแล้วว่าเราได้รับความทุ่มเทจากอาจารย์ ไปทำงานที่สิงคโปร์เจ้านายเก่าก็รัก มีความสามารถด้านการดูภาพสามมิติ การออกแบบทำไมเราถึงทิ้ง ทิ้งพรสวรรค์ที่เรามีแล้วไปทำสิ่งที่ไม่ถนัดเลย มองหน้ากันกับภรรยาแล้วคิดว่า ทำไมนะ เราออกมาใช้ชีวิตช้าอย่างที่ตั้งใจแล้ว ทำไมไม่เห็นจะมีความสุขมากขึ้นเลย
ถอยเพื่อเดินหน้า
บางคนเมื่อเลือกไปทำอย่างอื่นแล้วก็อาจประสบความสำเร็จ หรือบางคนอาจจะไม่สำเร็จแต่ก็ไม่อยากกลับมา เพราะเขาคิดว่าการเดินกลับมายังที่เดิมคือความล้มเหลว กลัวเสียหน้า แต่ผมรู้ตัวเลยว่า เรากำลังลืมพื้นฐานของเราจริงๆ
ผมจึงปรับความคิดใหม่ ไม่ดิ้นรนอะไรที่เกินตัวแล้ว แต่เริ่มกลับมากลับมาโดยใช้พื้นฐานจากสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นคือการวาดรูป การออกแบบ จึงกลับมาทำงานเหมือนเดิม ทำในปริมาณที่โอเคก่อน พยายามมีสมาธิให้มากขึ้นและมีความสุขในปัจจุบัน ตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าเราจะทำงานควบคู่กับการทำประโยชน์ให้สังคม
ที่สำคัญคือตอนนี้ผมแยกส่วนชัดเจนระหว่างบ้านกับที่ทำงาน แตกต่างจากตอนทำออฟฟิศตัวเองครั้งแรกที่ตอนนั้นผมไม่มีบ้าน เพียงแค่กั้นที่ไว้นอนในออฟฟิศ ตอนนี้ผมพยายามทำให้มันสมดุล ใช้สติมากขึ้น ใช้เวลากับงานน้อยลง พยายามทำแบบนี้ แล้วผลที่ได้มันค่อยๆดีขึ้น อย่างลูกน้องผมเคยใช้อารมณ์กับเขา แต่พอเราใจเย็นลง มีเมตตากับเขามากขึ้น ผลงานของออฟฟิศก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่เท่าเดิม
ตอนนี้ผมอายุ 43 ปีสำหรับอาชีพสถาปนิกนั้น ถือว่าเป็นอายุที่เพิ่งเริ่มต้น เริ่มสร้างผลงาน เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ถ้าผมสรุปบทเรียนกับเรื่องนี้ ผมจะบอกกับคนที่กำลังเหนื่อยและอยากหลบจากชีวิตวุ่นวายว่า คุณสามารถทำได้ ทุกคนมีเหตุผลของใครของมัน สักวันหนึ่งเราควรมีอาณาจักรที่เราภูมิใจกับมัน แต่การจะไปจากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่งไม่ใช่ด้วยเหตุผลเพื่อจะหนีอะไรบางอย่างเหมือนที่ผมเคยหนี แต่ควรทำเพื่อเป้าหมายที่ชัดเจน มากกว่านั้นเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะหากเรารักที่จะทำ ก็ต้องจัดการมัน ทั้งในแง่ของความฝันและการทำงาน ซึ่งวันนี้แม้จะมีบางส่วนที่เราไม่ชอบ แต่ก็จัดการด้วยสติและความตั้งใจ ถ้าถามผมที่ผ่านช่วงสับสนมาได้ ผมว่าจุดเปลี่ยนคือการตั้งเป้าหมายใหม่ที่ชัดเจนใหม่ ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิต
ทุกวันนี้ผมรู้สึกมีพลัง อยากออกไปพบลูกค้า อยากเขียนแบบ แน่ว่าการทำธุรกิจต้องมีกำไร-ขาดทุน แต่ผมไม่ได้เอาสิ่งนั้นมาเป็นเป้าหมายแรก เป้าหมายของผมในการออกแบบคือการมองถึงคุณภาพชีวิต อยากให้ผู้อยู่อาศัยได้บ้านที่ดี ได้อยู่ในทิศทางลม-แดดที่สวยงาม สามารถขยับขยายได้อย่างมีความสุข และถ้าวันหนึ่งเขาคิดจะหาที่อยู่ใหม่ก็อยากจะให้สิ่งก่อสร้างนี้เป็นสินทรัพย์ที่ทำให้เขามีกำไร
หนุ่ย- รติวัฒน์ มีผลงานได้รับรางวัลทางสถาปัตยกรรมมากมายทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ เช่น เพลินวาน หัวหิน, อาคารสำนักงานวนชัย, Saladeang One by SC Asset, The Base และ The Line 101 by Sansiri, Rythm condo by AP Ekamai, JIN Wellbeing County งานออกแบบสำหรับผู้สูงอายุแนวคิดใหม่ และล่าสุด Marble house ได้รับรางวัล winner จาก German Design Awards ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสามารถของสถาปนิกไทยคนหนึ่งในระดับนานาชาติ
จาก Life code ตีพิมพ์ในเซคชั่นจุดประกาย กรุงเทพธุรกิจวันที่10 เมษายน 2561