ลมหายใจ และ ความตาย ของ ‘ดวงฤทธิ์ บุนนาค’

ลมหายใจ และ ความตาย ของ ‘ดวงฤทธิ์ บุนนาค’

“ผมจะบอกข่าวดีให้พวกคุณได้รู้ว่า.. พวกคุณกำลังจะตาย” คำพูดจากรุ่นใหญ่วัย 51 อย่าง ดวงฤทธิ์ บุนนาค ที่ทำคนฟังสตั๊นกันทั้งฮอลล์

เมื่อไม่นานมานี้ ดวงฤทธิ์ คือ หนึ่งในแขกรับเชิญมาร่วมพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเอง มองหาเส้นทางชีวิตที่ต้องการจะเดินต่อไปในงาน Worst of the Best จัดโดย โกลเด้นแลนด์

“ผมเป็นสถาปนิก จริงๆ ก็ไม่รู้จะเล่าอะไรให้ฟัง อายุ 51 แล้ว สมัยเด็กๆ ก็จำอะไรไม่ค่อยได้ ผมคงไม่พูดเรื่องในอดีต แต่จะพูดเรื่องในอนาคต ผมโคตรเป็ด เป็นสถาปนิก ออกแบบโรงแรม ออกแบบอะไรหลายๆ อย่าง ผมทำธุรกิจโดยเริ่มต้นจากเงิน 3 แสนบาทที่ได้จากการไปรับฝิ่นออกแบบบ้านให้รุ่นพี่แล้วได้เงินมา 4 แสนบาท ใช้ไปแสนบาท เหลือเงิน 3 แสนบาท ก็เอามาตั้งบริษัท

บริษัทแรกของผมอยู่ใต้ถุนตึก มีพนักงานอยู่ 3 คน เป็นคนที่ไม่เต็มใจทำงานกับผมอยู่ 2 คน อีกคนนึงไม่มีที่ไป ผมเริ่มต้นทำบริษัทเมื่อ 18 ปีที่แล้ว แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ จนถึงจุดนึง เหลือเงินอยู่ 3 หมื่นบาท ก็คิดว่า ถ้าเดือนหน้าไม่มีงาน ก็อดตายแน่ โชคดีที่ได้ออกแบบบ้าน ค่าแบบ 4 แสนบาท ก็เลยรอดตาย..” นี่คือบทแนะนำตัวจากรุ่นใหญ่อย่าง ดวงฤทธิ์

“ผมเริ่มทำ เดอะ แจม แฟคทอรี่ ผมเริ่มต้นจากการไม่มีเงินนะครับ ไปคุยกับแบงค์ทั้งหมด 6 แบงค์ ก็เล่าให้ฟังว่า มันจะเป็นอย่างนี้ๆ นะ ผมมีไอเดียแบบนี้ แบงค์ก็ถามว่า แล้วมีหลักประกันมั้ย ผมก็บอกว่า ไม่มี แบงค์ก็ไม่ให้กู้

ผมเดินเข้าออกแบงค์ทั้งหมด 6 แบงค์ไม่มีใครให้เงินผมเลย จนกระทั่งแบงค์สุดท้าย ผมพูดเยอะมาก พูดจนไม่ยอมให้เขาลุกไปไหน เพราะรู้ว่า ผมไม่มีโอกาสอีกแล้ว นี่คือแบงค์สุดท้าย แล้วผมก็ได้เงินกู้มา 19 ล้านบาท ก็เอามาทำเดอะ แจม แฟคทอรี่”

20160630164249120

มันไม่มี The Worst
แต่มันก็ไม่มี The Best
มันไม่มีชีวิตที่แย่ แล้วก็ไม่มีชีวิตที่ดีด้วย
มันมีแค่ ‘ชีวิต’ ที่คุณอยู่นี่แหละครับ

หลังได้เงินมาสร้างเดอะ แจมฯ เขาก็เริ่มสนุกกับการขยับขยาย หลายโครงการที่ตามมา และเป็นเหตุให้ต้องเข้าออกแบงค์เพิ่มขึ้น จนรวมๆ แล้ว กู้เงินมาทั้งหมด 60 กว่าล้านบาท บริหาร 16 บริษัท มีลูกน้อง 200 กว่าคน มีรายได้ต่อปี 200 ล้าน เป็นหนี้ 60 ล้านบาท

“ถ้าคุณอยากมีรายได้สองร้อยล้าน คุณก็ต้องเป็นหนี้ 60 ล้านนะ มีใครบอกความจริงคุณเรื่องนี้หรือเปล่า”

เขาบอกคนฟัง ว่า มีทั้งข่าวดี และข่าวร้ายจะบอก..

“ข่าวดี คือ มันไม่มี The Worst แต่ข่าวร้าย ก็คือมันไม่มี The Best ด้วย ประเด็นก็คือ มันไม่มีทั้งสองอย่าง มันไม่มีชีวิตที่แย่ แล้วก็ไม่มีชีวิตที่ดีด้วย มันมีแค่ ‘ชีวิต’ ที่คุณอยู่นี่แหละครับ

ชีวิตมันก็เริ่มต้น คือ คุณเกิดไงครับ แล้วคุณก็ร้อง แล้วคุณก็เริ่มต้นหายใจเข้า แล้วคุณก็เริ่มต้นหายใจออก หายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้า หายใจออก จนกระทั่งคุณตาย

ชีวิตมีแค่นี้ล่ะครับ มันไม่มี Worst มันไม่มี Best มันไม่มีดี มันไม่มีเลว มันมีแค่ตอนคุณเกิด คุณหายใจเข้า หายใจออก แล้วคุณก็ตาย

..เฮ้ย ผมเสียใจว่ะ คุณต้องตาย คุณรู้ตัวปะ!?

ผมเสียใจมากนะครับ ที่ต้องบอกความจริงของคุณเรื่องนี้ ว่า พวกคุณต้องตาย แล้วระหว่างทางที่คุณเกิดและคุณตาย คุณมีช้อยส์อยู่สองทางเลือกเท่านั้น นั่นก็คือ ทำ กับ ไม่ทำ

เวลาคุณ ‘ทำ’ เกิดอะไรขึ้น มีผลลัพธ์ใช่มั้ย คุณอาจจะได้หรือไม่ได้ คือ 50/50 แต่ถ้าไม่ทำ โอกาสของคุณ คือ ศูนย์ แล้วคุณจะเลือกอะไร

'ทำ' สิครับ ผมถึงทำชิบหายเลย

แต่ถ้าทำแล้วเกิดผิดพลาด คุณให้ความหมายกับมันว่ายังไง ?

คนส่วนใหญ่จะมีการคิด พิจารณาว่า จะทำดีรึเปล่า ทั้งๆ ที่คุณมีความคิดที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ แล้วคุณก็ถามตัวเองว่า ทำดีหรือเปล่า มันจะเหมือนมีเสียงเล็กๆ ที่ข้างหูคุณ

เฮ้ย.. อย่าทำเลย คุณคิดว่า เสียงนี้ มันคือตัวคุณ ที่คอยตักเตือนให้ทำหรือไม่ทำ

ถ้าผมบอกว่า พรุ่งนี้คุณจะมีชื่อเสียง คนสามร้อยคนจะจำคุณไปตลอดกาล
เพียงแค่คุณขึ้นมายืนบนเวที
สมองของคุณจะบอกว่า..
มึงอย่ายุ่งกับกูนะ ไอ้ดวงฤทธิ์

ผมจะเล่าความจริงแบบนี้ครับ ความจริงที่ว่า คุณ กับ สมองของคุณไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน

สมองของคุณ มันมีหน้าที่อย่างเดียว คือ ทำยังไงก็ได้ให้คุณรอด เพราะถ้าคุณรอด สมองก็รอด สมองไม่เคยทำให้คุณประสบความสำเร็จ สมองทำทุกอย่างที่จะหยุดคุณจากความสำเร็จ

ถ้าผมบอกว่า พรุ่งนี้ คุณจะมีชื่อเสียง คนสามร้อยคนจะจำคุณไปตลอดกาลเลย เพียงแค่คุณขึ้นมายืนบนเวที ตอนนี้สมองของคุณจะบอกว่า.. มึงอย่ายุ่งกับกูนะไอ้ดวงฤทธิ์ เพราะอะไรครับ เพราะสมองกำลังบอกคุณว่า เฮ้ย.. ถ้าขึ้นไปบนเวที มึงอาจจะเสียฟอร์ม อาจจะขายหน้า อาจจะอายนะเว้ย และเพื่อความปลอดภัย คือ ไม่ขึ้นดีกว่า

นี่คือ การทำงานของสมองครับ สมองต้องการเก็บคุณไว้ในที่ที่อบอุ่นและปลอดภัย ชิลๆ คอมฟอร์ตที่สุด ให้แน่ใจว่า คุณจะไม่กระทบกระเทือนอะไรเลย อันนี้คือสิ่งเดียวที่สมองต้องการ แล้วมันก็จะสร้างกลไกขึ้นมาเป็นเสียงในหัวคุณ เพื่อจะบอกว่า มึงอย่าทำนะ ไม่ดีหรอก อาจจะพลาดนะเว้ย อาจจะล้มเหลวนะเว้ย

ประเด็นคือว่า ถ้าคุณไม่เคยได้ยินเสียงนี้เลย นั่นแปลว่า คุณไม่เคยได้พยายามอะไรเลยจริงๆ คุณไม่ได้พยายามลงมือทำ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตคุณเลย แต่ถ้าคุณเคยได้ยินมัน ทำตัวให้คุ้นเคยกับมันไว้ครับ แล้วบอกว่า ‘มึงอยู่เฉยๆ’ แล้วก็ทำมัน

20160630164249734

เพราะอย่าลืมว่า ชีวิตทั้งชีวิตของคุณ คุณมีตอนเกิด แล้วก็มีตอนตาย ส่วนระหว่างนั้น คุณก็มีแค่ ทำ กับ ไม่ทำ ทุกครั้งที่คุณคิดจะทำ ก็จะมีเสียงเล็กๆ ในหัวว่า อย่าทำเลย คุณจงบอกเสียงเล็กๆ ในหัวนั้นว่า ‘มึงอย่ายุ่งกับกู’ แล้วคุณก็ทำ

ชีวิตมีแค่นี้เอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้ แล้วก็ไม่มีอะไรน้อยกว่านี้ นั่นคือเคล็ดลับของชีวิตมีอยู่แค่นี้เองครับ.. ทำหรือไม่ทำ” เขา เอ่ยบนเวที

ผมตกงาน ดีหรือเลว? ..มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นครับ
ผมทำธุรกิจ ขาดทุนไป 20 ล้าน ดีหรือเลวครับ ..มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้น
ผมทำงานๆ อยู่ อ้าว พ่อผมตาย
..มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้น

"ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่า อะไรเป็นวิธีที่ถูก อะไรเป็นวิธีที่ผิด ทั้งชีวิตคุณ มันอาจไม่มีสิ่งที่ดี หรือ สิ่งที่เลวก็ได้ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้น”

เขาบอกว่า สิ่งที่เราคิดหรือบอกว่า มันดีหรือมันเลว ก็เพราะตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนให้ความหมายกับมัน

“มันไม่ได้มีสิ่งที่ดีหรือเลวครับ มันมีแต่สิ่งที่เกิดขึ้น.. ผมทำงานมา ผมตกงาน ดีหรือเลว.. มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นครับ ผมทำธุรกิจ ล้มเหลว ขาดทุนไป 20 ล้าน ดีหรือเลวครับ.. มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้น ผมทำงานๆ อยู่ อ้าว พ่อผมตาย.. มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้น”

เพราะวิธีที่ตัวเราให้ความหมายว่า มันดีหรือเลวนั่นแหละที่ทำให้เราติดกับดักชีวิตของเราเอง เขาจึงพยายามย้ำว่า มันไม่มีทั้งสิ่งที่ดี สิ่งที่เลว ไม่มีดราม่า ไม่มีโชคชะตา เวรกรรม หรืออะไรเลย

“มันมีแค่สิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ที่คุณจะรับมือจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง อันนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ และนั่นคือทั้งหมดในชีวิตคุณ”

“วันที่คุณตาย เขาก็จะบอกว่า เฮ้ย ดวงฤทธิ์ตายแล้วว่ะ ดวงฤทธิ์คนที่ไม่เคยทำอะไรซักอย่าง ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย มันก็มีความฝันนะ แต่มันไม่เคยทำอะไรเลย.. แล้วก็ไม่มีใครจำคุณได้หรอก

หรือคุณจะตายแบบ..เฮ้ยดวงฤทธิ์ มันทำทุกอย่างเลยว่ะ มันสร้างนั่นเจ๊งนะ มันดีนะ โห แต่มันทำเยอะมากเลย ทำทุกอย่างเลย” เขา เอ่ย

พร้อมถามย้ำประเด็นสำคัญ ที่ไม่ว่า คุณจะอยู่ในวัยไหน อายุเท่าไหร่ หรือมีอาชีพอะไร ก็ควรตอบให้ได้ว่า

“คุณอยากตายแบบไหนครับ คุณเลือกมันได้วันนี้ ว่า คุณจะตายแบบไหน เพราะที่สำคัญที่สุด คือ ยังไงคุณก็ตาย!”